"ในความไม่แน่นอนของชีวิต" การแสดงธรรมครั้งสุดท้ายของคุณไพบูลย์ พาณิชย์กุล

"ในความไม่แน่นอนของชีวิต" การแสดงธรรมครั้งสุดท้ายของคุณไพบูลย์ พาณิชย์กุล

ผู้แต่ง: กัญญา พาณิชย์กุล · กัญญา ลีลาลัย · ฤดี เริงชัย

.....สำหรับสังคมไทย คุณไพบูลย์ พาณิชย์กุล ไม่ได้มีชื่อเสียงในฐานะนักแสดงธรรม คุณไพบูลย์เป็นเพียงลูกที่ดีของพ่อแม่ พี่ชาย(คนโต)ที่แสนดีของน้องๆ เป็นสามีที่ปกป้องค้ำชูเคียงบ่าไหล่ทุกย่างก้าวของภรรยา เป็นพ่อที่ประเสริฐของลูกๆ เป็นลุง เป็นปู่และเป็นตาที่ให้ความรักใคร่เอ็นดูหลานๆ ทั้งหลาย แต่สำหรับภายในครอบครัวเล็กๆ เช่น ในครอบครัวพาณิชย์กุลของเรา น้องๆ ถือว่าคุณไพบูลย์เป็นธรรมกถึกคนหนึ่ง เพราะคุณไพบูลย์สนใจธรรมะมาเนิ่นนาน สามารถแจกแจงหัวข้อธรรมะต่างๆ และอธิบายเชื่อมโยงได้อย่างดียิ่ง แต่คุณไพบูลย์ก็ไม่ได้คิดขยายบทบาทการแสดงธรรม มากไปกว่าคุยกันบนโต๊ะสนทนาระหว่างคนกันเอง

.....เมื่อถึงอาศรมที่ 4 ของชีวิต ลูกๆ เรียนจบ มีหนทางของตนเอง คุณไพบูลย์และคุณจรรย์ภรณ์(ภรรยา)ได้กลายเป็นนักปฏิบัติธรรม ตามแนวสติปัฏฐาน 4(แบบดูอาการพอง-ยุบของท้อง) โดยเริ่มแรกไปอบรมวิปัสสนากรรมฐานกับคุณแม่สิริ กรินชัย เมื่ออบรมหลายครั้ง เกิดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมตามลำดับ ทำให้ซาบซึ้งในพระรัตนตรัยเพิ่มขึ้นจนถึงจุดเปลี่ยนใหญ่ในชีวิต คือการตัดสินใจปลูกตึกใหญ่หลังหนึ่งสูง 5 ชั้นเป็นสถานที่ใช้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ทั้งนี้เพื่อเป็นพุทธบูชา

.....ที่ดินที่ใช้ปลูก “บ้านพาณิชย์กุล” อยู่ติดกับบ้านของคุณไพบูลย์เอง เดิมคุณไพบูลย์และคุณจรรย์ภรณ์ดำริที่จะปลูกบ้านใหม่หรือไม่ก็จะปลูกอพาร์ทเมนท์ใหม่ เพราะอพาร์ทเมนท์เดิมซึ่งปลูกไว้เก็บกินค่าเช่าส่งธนาคารหมดแล้ว ในจังหวะนี้เองคุณจรรย์ภรณ์เกิดศรัทธาแรงกล้าที่จะสร้างสถานปฏิบัติธรรม เพราะเห็นเป็นบุญสูงสุดอย่างหนึ่งที่จะทำได้ คุณไพบูลย์สนับสนุนทันที และกู้เงินธนาคารมาปลูกตึกใหม่ คือ “บ้านพาณิชย์กุล” ในปัจจุบัน เรื่องเหล่านี้สะเทือนความรู้สึกของน้องๆ มาก เพราะแม้คุณไพบูลย์จะมีฐานะดีที่สุดในหมู่พี่น้องก็ตาม แต่เป็นการสะสมทรัพย์สินขึ้นมาจากการทำงานหนักและการเก็บหอมริบ ไม่ได้มีสมบัติเก่าใดๆ มาก่อนเลย ชีวิตส่วนตัวของคุณไพบูลย์และคุณจรรย์ภรณ์ก็เป็นชีวิตสมถะ แต่เรื่องทำบุญถึงไหนถึงกัน

....งบประมาณการก่อสร้าง “บ้านพาณิชย์กุล” บานปลายไปเรื่อยๆ จากเดิมตั้งไว้ที่ 4 ล้านบาท กลายเป็น 8 ล้านบาท แต่ใบหน้าของคุณไพบูลย์และคุณจรรย์ภรณ์กลับอิ่มเอิบเสมอเมื่อพูดถึงบ้านหลังนี้ และบ้านนี้ก็ได้เริ่มเปิดอบรมวิปัสสนากรรมฐานได้เป็นครั้งแรกในปีพ.ศ.2548 เน้นรองรับการปฏิบัติธรรมของญาติมิตร พี่น้อง รวมถึงบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจและมีความตั้งใจจริงในการปฏิบัติธรรม

.....ถ้าหากใครเปิดเข้าไปดูในเวบไซด์ “บ้านพาณิชย์กุล” จะเห็นข้อความขึ้นต้นว่า
....................
"สถานปฏิบัติธรรม บ้านพาณิชย์กุล"

เป็นสถานที่ที่ก่อตั้งขึ้น โดยคุณไพบูลย์ และคุณจรรย์ภรณ์ พาณิชย์กุล
สำหรับใช้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ (แบบดูอาการพอง-ยุบของท้อง)
บ้านพาณิชย์กุลเปิดรับสมัคร บุคคลทั่วไปที่สนใจและมีความตั้งใจจริง
เพื่อให้มีโอกาสได้เข้าปฏิบัติธรรม โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
......................
.....ตัวเน้นที่ว่า “โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น” เพราะมาปฏิบัติธรรมที่นี่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย ใครจะทำบุญกับพระวิปัสสนาจารย์ ก็ทำบุญตรงกันไป ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างอบรมกรรมฐานนั้น เจ้าภาพคือ คุณไพบูลย์และคุณจรรย์ภรณ์เป็นคนแบกรับเอง เป็นเจ้าภาพหลักซึ่งใช้เงินส่วนตัวครั้งละหลายหมื่นบาทในการจัดอบรมกรรมฐานแต่ละครั้ง เพื่อประโยชน์สุขแก่ตนและผู้อื่น ภายหลังจึงเริ่มมีผู้ขอเป็นเจ้าภาพร่วมตามกำลังทรัพย์และกำลังศรัทธาบ้าง แต่เจ้าภาพหลักก็คือทั้งสองสามีภรรยาและหากขาดเหลืออะไรคู่ทุกข์คู่ยากทั้งสองนี้เองที่แบกรับ

.....ความที่คุณไพบูลย์และคุณจรรย์ภรณ์เป็นคนทำงานหนักกันมาก่อนทั้งชีวิต เมื่อมาทำสถานปฏิบัติธรรม ต่างจึงใช้กำลังของตนเองและลูกๆ เป็นสำคัญในการขับเคลื่อน “บ้านพาณิชย์กุล” การดูแลผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหมด คนที่ทำเป็นหลักก็คือคุณไพบูลย์และคุณจรรย์ภรณ์ เริ่มตั้งแต่ขับรถไปรับวิปัสสนาจารย์ ไปตลาด ทำอาหารถวายพระและเลี้ยงผู้ปฏิบัติธรรม(หรือที่เรียกกันว่า “โยคี”) ดูแลเรื่องอาคารสถานที่ อาบเหงื่อต่างน้ำตลอดทุกช่วงของการจัดกรรมฐาน โยคีแต่ละรุ่นมักงุนงง เมื่อได้รู้ว่า คนที่เป็นธุระจัดการเรื่องราวต่างๆ ก็คือ คุณไพบูลย์เจ้าของสถานที่ ส่วนคนที่หัวฟูอยู่ในครัวและหน้าเตา ก็คือคุณจรรย์ภรณ์ ภรรยา ซึ่งคุณไพบูลย์จะพูดเสมอว่า เธอเป็นเจ้าของตัวจริง เพราะเป็นคนริเริ่มที่จะสร้างสถานปฏิบัติธรรมขึ้น

.....ดิฉันคิดว่าบุญสูงสุดอย่างหนึ่งที่คุณไพบูลย์ได้ทำก็คือ การจูงแม่(คุณแม่ประไพ พาณิชย์กุล)เข้าสู่การปฏิบัติธรรม ที่บ้านพาณิชย์กุลนี้ เพราะการน้อมท่านมาสู่การปฏิบัติธรรมในเบื้องต้นนี้ ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญให้การเผชิญชราและพยาธิในช่วงท้ายชีวิตของท่านเป็นไปโดยงดงาม ตัวคุณไพบูลย์เอง ในช่วงสี่ปีนับจากก่อตั้งบ้านพาณิชย์กุลเป็นต้นมา ก็ปฏิบัติกรรมฐานทุกวัน ถ้าไม่ติดอะไรที่สำคัญจริงๆ ก็จะปฏิบัติตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเที่ยง แล้วค่อยไปปฏิบัติภารกิจอื่น

.....ประมาณสองปีก่อน คุณไพบูลย์มีอาการหัวใจล้มเหลว ต้องเข้าโรงพยาบาล สัญญานบ่งบอกถึง ความไม่แน่นอนของชีวิตได้ปรากฏขึ้นแล้ว เส้นเลือดหัวใจตีบ หมออยากผ่าตัดทำบอลลูน แต่คุณไพบูลย์เลือกเส้นทางกรรมฐาน และอาการก็ดีวันดีคืนอย่างน่าอัศจรรย์ ในที่สุดคุณไพบูลย์ก็กลับมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดอบรมกรรมฐานอีกครั้ง

.....ครั้งสุดท้ายที่ดิฉันได้พบคุณไพบูลย์ในขณะมีชีวิต คือ ช่วงการอบรมวิปัสสนากรรมฐานที่บ้านพาณิชย์กุล เมื่อวันที่ 8-13 ธันวาคม ที่เพิ่งผ่านมา เพราะดิฉันเองก็เป็นผู้หนึ่งที่เข้าอบรมกรรมฐานด้วย หลังลากรรมฐาน ไม่ต้อง “กำหนด งดพูด” จึงได้มีโอกาสสนทนาพูดคุยกับคุณจรรย์ภรณ์และคุณไพบูลย์มากมายหลายเรื่อง โดยเฉพาะกับคุณไพบูลย์ ซึ่งเป็นการพูดคุยกันระหว่างพี่น้องสามสี่คน ทั้งที่มาร่วมเข้าปฏิบัติธรรมและที่มารับลูกชายที่เข้าร่วมปฏิบัติธรรม คุณไพบูลย์ผ่องใสมาก หัวเราะตัวงอเมื่อดิฉันเล่าเรื่องการปฏิบัติให้ฟัง เพราะมีเรื่องตลกอยู่ในนั้นด้วย แต่ดิฉันก็สรุปให้ฟังในตอนท้ายว่า “ตอนมาเหมือนห่าจะกิน แต่ตอนไปเหมือนไก่จะบิน” เพราะดิฉันไปในสภาพป่วยโทรมประนัง ทั้งเป็นไข้ เจ็บคอ ท้องผูก และปวดฟัน แต่ออกกรรมฐานมาอย่างผ่องใส ที่เจ็บป่วยก็ทุเลาทั้งหมด

.....คุณไพบูลย์เองก็เล่าถึงความปีติอย่างสูงในการจัดอบรมกรรมฐานครั้งนี้ เมื่อพวกเราเอ่ยชมอาหารมังสวิรัติที่คุณจรรย์ภรณ์ทำ พวกเราเคยถามคุณจรรย์ภรณ์ เธอบอกเราว่า “ไม่ได้ใส่อะไร แค่ใส่ใจ” ส่วนคุณไพบูลย์เล่าเคล็ดลับความอร่อยว่า ไปเสาะหาวัตถุดิบอย่างดีจาก 5 ตลาด เพราะอาหารมังสวิรัติทำให้อร่อยยาก ซึ่งพวกเราก็เพิ่งรู้ถึงความยากลำบาก แต่คุณไพบูลย์กลับรู้สึกปีติมากที่ได้ลงแรงอย่างดีที่สุด เพื่อเกื้อหนุนให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้ปฏิบัติธรรมโดยไม่ติดขัดมากที่สุด นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของคำว่า “ใส่ใจ” ที่คุณจรรย์ภรณ์บอกเรานั่นเอง

.....บ่ายของวันที่ 20 ธันวาคม คุณจรรย์ภรณ์ฝากน้องๆ ช่วยบอกต่อกันว่า คุณไพบูลย์อยู่ในห้องไอซียู กำลังปั๊มหัวใจอยู่ ขอให้น้องๆ ช่วยกันสวดมนต์ให้ พวกเราซึ่งขณะนั้นอยู่กันคนละทิศคนละทางได้รวมใจเป็นหนึ่งเดียวสวดมนต์ให้ หลังจากนั้นเราก็ได้รับรู้ข่าวยืนยันการเสียชีวิต และได้ไปกราบศพคุณไพบูลย์ในตอนเย็นที่โรงพยาบาลนครธน

.....ช่วงแรกที่รู้ข่าวคุณไพบูลย์ ดิฉันพยายามถามว่า คุณไพบูลย์เสียชีวิตอย่างไร คำตอบที่ได้รับก็คือ เสียชีวิตในงานเลี้ยง ขณะรับเชิญขึ้นไปร้องเพลง ดิฉันใจหายวาบ เพราะเสียขณะร้องรำทำเพลง กำลังสติที่เคยเจริญมาจะมีได้สักเท่าไรหนอ จนกระทั่งไปกราบศพ เห็นใบหน้าคุณไพบูลย์ยิ้มละไม สอบถามจึงได้รู้ว่าคุณไพบูลย์เสียชีวิตพร้อมรอยยิ้ม และคำสุดท้ายที่ออกจากปากคือ “พระพุทธ พระธรรมนำทาง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเนื้อเพลงอวยพรปีใหม่ที่คุณไพบูลย์แต่งขึ้น

.....คุณไพบูลย์เป็นคนชอบร้องเพลง ชอบแต่งเพลงมาแต่ไหนแต่ไร เวลาไปอยู่ที่ไหนก็มักทำประโยชน์ให้ที่นั่นด้วยการแต่งเพลงให้ เมื่อมาทางธรรมะ ก็หันมาแต่งเพลงธรรมะ หลังมีอาการหัวใจล้มเหลวเมื่อเกือบสองปีก่อน คุณไพบูลย์ไม่ได้ออกงานเลย แต่หลังออกกรรมฐานในปีนี้ คุณไพบูลย์รู้สึกว่าสุขภาพดีขึ้นมาก แข็งแรงขึ้นแล้ว ทั้งเป็นช่วงปีใหม่ กลุ่มที่ออกกำลังกายด้วยกัน และมีการกินเลี้ยงโต๊ะแชร์เดือนละครั้งขอให้ไปร่วมงาน คุณไพบูลย์จึงคิดไปสักครั้ง เมื่อไปก็ถูกขอให้ขึ้นไปร้องเพลง จนถึงเพลงที่ 3 เมื่อสิ้นเสียงคำว่า “พระพุทธ พระธรรมนำทาง” คุณไพบูลย์ก็ค่อยๆ ล้มลงอย่างช้าๆ และหมดสติไปในรอยยิ้ม คนบนเวทีรวมทั้งคุณจรรย์ภรณ์ ช่วยกันประคองนวดเฟ้น และนำส่งโรงพยาบาลทันที หมอบอกว่าเสียชีวิตแล้ว แต่หมอก็พยายามช่วยปั๊มหัวใจเผื่อคุณไพบูลย์จะกลับฟื้นขึ้นได้ หากคุณไพบูลย์ก็ไม่ได้กลับมาอีก หมอบอกว่า นี่เป็นปรากฎการณ์หนึ่งในล้าน เป็นการเสียชีวิตแบบเฉียบพลันในท่ามกลางความสุข

.....น้องสาวคนเล็กบอกดิฉันว่า “ถ้าอยากฟังเสียงสุดท้ายของเฮีย ก็มีนะ เพราะในงานเขาอัดเสียงเอาไว้” ส่วนดิฉันรู้สึกนึกถึงเรื่องของจิต ดิฉันรู้มาว่า จิตอยู่ที่ตัวรู้ รู้ที่ไหนจิตอยู่ที่นั่น จิตจึงเก็บทั้งบารมีและอาสวะอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ เมื่อทำความดี กิริยาที่ทำนั้นเสร็จเป็นคราวๆ ไป แต่ความดีก็ยังเก็บไว้ในจิตส่วนลึก เรียกว่า บารมี เมื่อทำความชั่ว กิริยาที่ทำนั้นก็เสร็จเป็นคราวๆ ไปเช่นกัน แต่ความชั่วก็ยังเก็บไว้ในจิตส่วนลึก ที่เรียกว่า อาสวะ หรืออนุสัย คือ กิเลสอย่างละเอียดที่ดองจิตสันดาน

.....ดิฉันน้ำตาคลอเล็กน้อย เป็นน้ำตาของปีติ ดิฉันอดมองย้อนไปในอดีตไม่ได้ คุณไพบูลย์สั่งสมบารมีไว้มาก คือการทำความดีต่อเนื่องมาเรื่อยๆ และจริงใจในความดีที่ตนเองได้กระทำ ความดีนั้นจึงสั่งสมเป็นบารมี แม้เสียชีวิตในขณะร้องรำทำเพลง ก็ยังจากไปด้วยถ้อยคำของธรรมะ เมื่อหลาน ลูกสาวของคุณไพบูลย์ คิดทำหนังสือเล่มเล็กๆ แค่ยกเดียว เป็นที่ระลึกงานศพ เธออนุญาตให้แต่ละคนที่ระลึกถึงคุณไพบูลย์ สามารถไว้อาลัยได้เพียงประโยคเดียว ดิฉันจึงพูดได้แต่เพียงว่า

“บุคคลอย่างพี่ไพบูลย์ นานๆ จะเกิดขึ้นในโลกนี้สักครั้งหนึ่ง การได้เกิดเป็นน้องสาวจึงเป็นความภูมิใจที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิต”

Posted on BlogGang : 24 ธันวาคม 2552