เดินเท้าคุยกับผู้ค้ารายย่อยหลังเหตุการณ์เผาเมือง
ผูแต่ง: กัญญา พาณิชย์กุล · กัญญา ลีลาลัย · ฤดี เริงชัย
ภาษาอื่น / Other language: English · ไทย
.....ตอนที่ดิฉันตัดสินใจนำเอาเรื่องที่ไปพบเห็นสัมผัสจากการตระเวณไปพบปะพูดคุยกับผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มนปช.เมื่อเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 หลังจากที่มีเหตุการณ์เผาเมืองเกิดขึ้น ดิฉันไม่รู้จะเขียนเรื่องนี้ในหมวดหมู่อะไรดี เพราะดิฉันคิดแค่เรื่องมีคนกำลังเดือดร้อนมากๆ สำหรับดิฉัน นี่ไม่ใช่การเมือง แต่เป็นเรื่องชีวิต เป็นเรื่องผู้คน จึงตัดสินใจเขียนบล็อคในหมวดหมู่ ไดอารี่ บันทึกประสบการณ์ชีวิต
......หลังจากนำขึ้นบล็อคแล้ว ดิฉันก็ไปพูดคุยกับผู้คนต่อที่ย่านบ่อนไก่ ซึ่งการพูดคุยก็เพียงอยู่ในช่วงเริ่มต้น เพราะมีเรื่องราวมากมายจากปากซอยถึงท้ายซอยให้เราฉงนสนเท่ห์ ซึ่งเรื่องราวส่วนนี้ ดิฉันก็จะได้นำขึ้นมาลงในบล็อค มาบอกเล่าในเวลาต่อไป
......ตอนนำเรื่องราวขึ้นบล็อคครั้งแรก รู้สึกข้อความยาวไป จึงซอยเป็นตอนๆ แล้วแปะลงไปในช่องความเห็น ตอนนี้เข้ามาเพิ่มเติมเรื่องราวในบ่อนไก่ จึงทำไปในลักษณะเดียวกันค่ะ
..........
1.แรงบันดาลใจ
.....ดิฉันตั้งใจออกสำรวจพื้นที่ปะทะและการเผาเมืองมาตั้งแต่เหตุการณ์สงบใหม่ๆ แต่ความตั้งใจนี้แรงกล้าขึ้นในวันวิสาขบูชา(28 พ.ค.2553) หลังจากที่ได้คุยกับน้องคนหนึ่งซึ่งพักอาศัยอยู่บริเวณลุมพินี-บ่อนไก่ ตรงจุดปะทะในงานสัปดาห์ส่งเสริมพุทธศาสนาที่ท้องสนามหลวง
.....เธอมาซื้อหนังสือที่แผงของคุณม. คุณม.แนะนำให้ดิฉันรู้จัก และบอกว่า “พี่คนนี้เขาอยู่บ่อนไก่นะ อยากรู้อะไรก็ถามได้” แต่พอดิฉันขยับจะถาม เธอกลับส่ายหน้า ทำท่าเหมือนปาดน้ำตา บอกว่า “ไม่อยากพูด” ดิฉันจึงแสดงความเห็นใจเธอ “คงลำบากมากเลยนะคะ ถูกรัฐบาลตัดน้ำตัดไฟ” เธอมีอาการของขึ้นทันที ร้องบอกดิฉันว่า “รัฐบาลไม่ได้ตัดไฟนะพี่ เสื้อแดงมันยิงหม้อไฟ พอไฟดับ ก็ปั๊มน้ำไม่ได้ คอนโด 14 ชั้นน่ะพี่ มันก็เหมือนถูกตัดน้ำไปโดยอัตโนมัติ”
.....ดิฉันอึ้ง “แล้วทำไมข่าวบอกว่า รัฐบาลตัดล่ะ” เธอส่ายหน้า “รัฐบาลตัดตรงราชดำริ ไม่ได้ตัดตรงบ่อนไก่ ตรงนี้เสื้อแดงยิงหม้อไฟ ช่างไฟจะมาซ่อม มาต่อไฟให้ ก็ยิงช่างไฟฟ้าด้วย” ดิฉันเอื้อมมือไปจับมือเธอ “เห็นใจมากนะคะ ดูข่าวทางบ้านไม่รู้เลย เห็นแต่ภาพคนอพยพ ไม่รู้เรื่องนี้เลย” เธอสบตาดิฉัน “มีอีกเยอะเลยที่คนนอกไม่รู้ หนูเองก็ไม่รู้ว่า ในชีวิตจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เหมือนอยู่ในสงครามเลยพี่”
..... หลังจากนั้นเราก็คุยกันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ รวมเวลา 3 ชั่วโมงเต็ม ดิฉันจึงได้รู้ว่า ชาวแฟลตบ่อนไก่ต้องปกป้องตนเองอย่างกล้าหาญขนาดไหน จึงป้องกันการบุกเข้ายึดแฟลตของกลุ่มคนเสื้อแดงได้ “หนูนี่แหละอยู่ที่แฟลต สู้กับมัน คือพวกผู้หญิงเป็นหน่วยสอดแนม ส่องกล้องทางไกลตลอด คอยบอกพวกหนุ่มๆ ในแฟลตให้ยิงสกัดพวกเสื้อแดง พวกนั้นมีอาวุธมากกว่าเราเยอะแยะ มันก็ยิงข้ามหัวพวกเราไปมาตลอด เราทั้งแฟลต 14 ชั้น พี่เชื่อไหม มีปืนพกรวมกันไม่กี่กระบอก แต่ก็ได้ใช้ยิงสกัด ไม่ให้เสื้อแดงเข้ามายึด เข้ามาเผาแฟลตเรา”
.....ในท่ามกลางความกล้า ก็มีความเป็นมนุษย์ มีความกลัว และมีความหวั่นไหวต่างๆ “เราแค่ยิงสกัด ให้เขาถอยไป ไม่ยิงให้ตาย ถ้าคนของเขาตาย เขาคงไม่ปล่อยเราไว้”
.....เธอเล่าว่าแฟลตของเธอติดกับชุมชนแออัดที่มีคนเสื้อแดงอยู่เป็นจำนวนมาก แต่พวกที่เข้ามาจู่โจมส่วนใหญ่เป็นคนแปลกหน้า มีชุดดำปนมาด้วยจำนวนไม่น้อย และมีอีกส่วนที่ใส่ชุดลายพราง ซึ่งชาวแฟลตได้ยิงสกัดให้ถอยออกไป โดยอีกฟากฝั่งหนึ่งเป็นบังเกอร์ของทหาร
เธอยังเล่าเรื่องอื่นๆ ให้ฟังอีกมากมาย เช่นเรื่อง ชะตากรรมของร้านค้าย่อยที่ถูกเผา เธอว่า รัฐบาลยังช่วยไม่ตรงจุด เพราะคนที่เดือดร้อนมากที่สุดก็คือ ผู้เช่าช่วง หรือเรื่องความเห็นใจที่เธอมีต่อเสื้อแดงชนบทที่เข้ามาชุมนุม เพราะเธอเองนั้น มีร้านขายของอยู่ แต่ขายไม่ได้เพราะสถานการณ์ชุมนุม และเนื่องจากบ้านอยู่ใกล้ที่ชุมนุม จึงมักเข้าไปดูว่า เขามาเรียกร้องอะไรกัน
.....ความที่อยากให้คนเสื้อแดงกลับบ้าน เพราะเธอแบกรับค่าใช้จ่ายจำนวนมาก โดยแทบไม่มีรายรับต่อไปไม่ไหว การชุมนุมยืดเยื้อและไม่รู้จะจบเมื่อไร เธอจึงคิดง่ายๆ ว่า ถ้าคนที่เดือดร้อนจากการชุมนุมซึ่งต้องสูญเสียรายได้เดือนละหลายหมื่น หรือบางคนเป็นแสน จะช่วยกันจ้างผู้ที่มาชุมนุมให้กลับบ้าน เพราะถ้าจ้างให้มาได้ ก็ควรจ้างให้กลับได้ เธอจึงไปตีสนิทกับคนที่มาจากชนบท จนถึงขั้นให้ข้อเสนอนี้ได้
.....คำตอบที่เธอได้รับทำให้เธออึ้ง เพราะเขาก็อยากกลับ แต่กลับไม่ได้ เรื่องบัตรประชาชนที่ถูกนปช.ยึดไว้ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องที่ใหญ่มากคือ ถ้าหากเขากลับไปเองโดยพลการ ไม่ใช่ผู้นำเป็นคนพากลับ เขาจะไม่สามารถอยู่ในหมู่บ้านได้อีกต่อไป เขาจะอยู่ไม่ได้ ต้องถึงขั้นทิ้งรกรากของตนเอง เมื่อเธอได้รู้เรื่องราวเหล่านี้ก็อ่อนใจ “หนูว่าเขาน่าสงสารอะพี่ แต่หนูก็สงสารตัวเองเหมือนกัน เฮ้อ” ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เธอรู้สึกเกลียดพวกแกนนำนปช.มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่อยู่เบื้องหลังแกนนำ คือ ทักษิณ แล้วความเกลียดก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด เมื่อบ่อนไก่กลายเป็นเขตปะทะและเกิดการเผากันขึ้นมา
.....เราปักหลักคุยกันอยู่นาน พี่ผู้หญิงอีกคนมาคอยป้วนเปี้ยนเลือกหนังสืออยู่ข้างๆ ท่าทางสนใจเรื่องที่เราคุยกัน ดิฉันเลยหยิบเก้าอี้ให้อีกตัว เพื่อให้เข้าร่วมวงสนทนาด้วย เป็นผู้ปฏิบัติธรรม และถือศีล 8 ในวันวิสาขบูชานี้ด้วย แต่ก็อยากรู้ความเป็นไปของเหตุการณ์บ้านเมือง การมีคนธรรมะเข้าร่วมวงอีกคนหนึ่ง ทำให้เราสามารถลดความร้อนแรงและความอัดอั้นของน้องคนนี้ได้พอสมควร เพราะที่จริงเธอก็ฝักใฝ่ธรรมะจึงต้องมางานสนามหลวงทุกปี มาอยู่จนส่งพระบรมสารีริกธาตุเข้าวัดพระแก้ว
.....จากเรื่องของน้องคนนี้ ดิฉันรู้สึกได้ว่ายังมีผู้คนอีกมากมายแค่ไหนที่เต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ จึงเห็นว่า ต้องรีบลงพื้นที่ ถึงจะทำอะไรไม่ได้ ไปฟังพวกเขาบอกเล่าอะไรๆ ให้ฟังก็ยังดี ทั้งดิฉันเองก็จะได้เอามาต่อภาพเพื่อเขียนเรื่องราวโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ ในมุมมองของภาพรวมๆ ที่ดิฉันกำลังพยายามปะติดปะต่อได้อีกด้วย และได้เล่าความคิดเรื่องอยากลงพื้นที่ให้คุณม.ฟัง แต่เนื่องจากยังมีธุระอื่นต้องจัดการหลายวัน จึงเพิ่งลงตัวที่จะไปเดินสำรวจในวันที่ 8 มิ.ย. ซึ่งคุณม.ยินดีไปเป็นเพื่อน เพราะมีความชำนาญในพื้นที่เป็นอย่างดี
- เวรกรรมของประเทศ
.....ในวันที่ 8 มิถุนายน เราลงเรือที่ท่าเรือวัดศรีบุญเรือง บางกะปิ ตอนบ่ายโมงครึ่ง มุ่งหน้าตามคลองแสนแสบมายังราชเทวี การเลือกเดินทางด้วยเรือ เพราะใช้เวลาน้อย และได้เห็นสองฟากฝั่งคลอง ซึ่งเป็นชุมชนดั้งเดิม แม้จะเข้าใกล้เขตเมืองชั้นในมากขึ้นเพียงไร ก็ยังเป็นเช่นนั้น ชุมชนดั้งเดิมอยู่กันแออัดคละปนกับวัดวาอารามและตึกน้อยใหญ่ ภาพเหล่านี้แสดงวิถีชีวิตชาวกรุงเทพฯ ที่ส่วนใหญ่ที่สุดเป็นคนจน รองลงมาเป็นคนชั้นกลาง ส่วนคนมั่งคั่งร่ำรวยมีเพียงน้อยนิด
.....เรือเบาเครื่องยนต์เมื่อเข้าใกล้วังสระปทุม ซึ่งมีต้นไม้ร่มรื่นมาก ปกคลุมไปทั่ว และเราได้ขึ้นที่ท่าราชเทวี เราเดินเลาะวังสระปทุมด้านติดถนนพญาไทตรงมายัง ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ แล้วผ่านมายังสยามดิสคัฟเวอรี่ เพื่อข้ามฟากไปยังฝั่งสยามสแควร์ ซึ่งที่นั่นมีการตั้งเต้นท์ขายของสำหรับผู้ค้าในย่านสยามสแควร์ที่ถูกไฟไหม้ อันเป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยาร้านค้าที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมและเผาย่านสยามของคนเสื้อแดง
.....สยามสแควร์ซอย 4 และพื้นที่ข้างเคียง กลายเป็นตลาดนัดย่อมๆ มีเต้นท์เรียงราย แต่ละเต้นท์มีป้ายบอกเลขที่ของผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม แสดงความชัดเจนว่าเป็นผู้เดือดร้อนตัวจริง เดินผ่านไป 2-3 เต้นท์ ดิฉันได้หยุดฟังการสนทนาระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ผู้ซื้อพอใจเสื้อตัวหนึ่งที่แขวนไว้ แต่ต้องการให้ลดราคาลงอีกเพราะเสื้อมีกลิ่นควันไฟ ผู้ขายร้องขอว่า “แต่ก่อนตัวเกือบพันนะคะ นี่เหลือแค่ 300 กว่า ขาดทุนมากแล้วค่ะ” อยากแวะคุยกับคนขาย แต่เห็นลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆ เลยไม่ได้แวะ
.....อีกสองสามเต้นท์ถัดมา เด็กสาวกำลังสาละวนจัดเสื้อยืดพิมพ์ข้อความตามสถานการณ์ “สบายดี ประเทศไทย” “ขอความสุขกลับคืนมา” “รักเธอประเทศไทย” และฯลฯ เลยเข้าไปเดินดู ที่ร้านไม่มีลูกค้า บทสนทนาจึงเริ่มขึ้น และได้รู้ว่า ร้านของเธอเดิมเป็นร้านขายเสื้อผ้าไหม ตรงโรงหนังสยาม ถูกไฟไหม้หมดทั้งร้าน ไม่มีอะไรเหลือ จึงต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด “หนูเปิดร้านมานานเท่าไรแล้ว” “ของป้าหนูค่ะ เปิดมายี่สิบปีแล้ว” “โอ้...แล้วก่อนหน้านั้น กว่าจะสร้างตัวได้นะ” “ค่ะ” “ไม่เหลืออะไรเลยหรือ” “ไม่เหลือเลยค่ะ” “รัฐบาลช่วยอะไรบ้าง” “ตอนนี้ได้ 5 หมื่นค่ะ แต่เรื่องประกันภัย เรื่องอะไร ยังไม่มีอนาคตเลย” “ทางจุฬาล่ะ” “ตอนนี้เขาให้ขายฟรีเดือนหนึ่งก่อนค่ะ ยังพอประทังไป”
.....เธอดูเศร้าๆ ดิฉันจึงหยุดเลือกเฟ้นหาเสื้อยืดไปฝากลูกสาว เพื่ออุดหนุน “ตัวละร้อยค่ะ” “ขอต่อหน่อยนะ” แล้วดิฉันก็ส่งให้เธอ 120 บาท เธองง “ต่อขึ้นน่ะ ไม่ได้ต่อลง ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อย ในฐานะเป็นคนไทยด้วยกันค่ะ” เธอยิ้มออกมาได้ ยกมือไหว้ดิฉันอย่างงาม ระหว่างเธอรับเสื้อไปบรรจุใส่ถุง ดิฉันถามเธอว่า “ร้านเดิมค่าเช่าเท่าไหร่คะ” เธอตอบว่า “เดือนละ 4 หมื่นค่ะ แต่มีแปะเจี๊ยะปีละ 1 แสนทุกปีค่ะ” “ช่วงชุมนุมก็เดือดร้อนมากสิคะ ไม่มีรายได้ มีแต่รายจ่าย” ดิฉันถามต่อ “ต้องทำใจเยอะมากค่ะ” ดิฉันรู้สึกได้ถึงความเศร้าผ่านสีหน้าและแววตาเธอ แต่แล้วเธอก็หันกลับมายิ้มแย้มแจ่มใสเช่นเดิม “ขอบคุณมากนะคะ ที่มีน้ำใจ” เธอบอกดิฉัน ส่วนดิฉันให้ศีลให้พร ให้เธอยืนหยัดขึ้นใหม่ด้วยความเพียร ความมีสติ ฯลฯ ก่อนที่จะจากมา และได้รับไหว้อีกครั้งจากเต้นท์นี้
.....คนซื้อกับคนขายเต้นท์อื่นๆ ที่ผ่านมาก็มีบรรยากาศคล้ายคลึงกัน คือ มีคนมาสอบถามความเป็นไปจากผู้ประสบเหตุการณ์จริงในนี้เหมือนๆ กับดิฉันด้วย ดิฉันไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนา จะทำเพียงหยุดฟังไปพลาง ดูสินค้าไปพลาง พอแค่จับประเด็นได้ แล้วเดินจากมา มันทำให้เห็นว่า ไม่ได้มีเพียงดิฉันคนเดียวที่ออกมาแสวงหาความจริง ยังมีอีกไม่น้อยเลยซึ่งอยากรู้อะไร เขาก็จะไปถึงตรงนั้นเลยเหมือนกัน
.....เดินต่อมา ผ่านร้านขายขนมไข่สอดไส้ คนขายทำขายจะๆ ตรงนั้น เลยเข้าไปแวะอุดหนุน และถามไถ่ ปรากฏว่า ร้านนี้ไม่ได้ถูกไฟไหม้ แต่อยู่ในล็อคที่ไฟไหม้และไม่สามารถเปิดทำการค้าได้อีกต่อไป จึงต้องมาขายในพื้นที่ที่จุฬาฯจัดให้ชั่วคราวนี้ เป็นร้านที่มีคนอุดหนุนพอสมควร คนขายบอกว่าตนยังโชคดี ที่อุปกรณ์การผลิต และทรัพย์สินอื่นๆ ในร้านยังไม่พินาศไปกับไฟเหมือนร้านอื่น ดูคนขายยังมีพลังชีวิตมากทีเดียว และส่งเสียง “ขอบคุณคร้าบ”ยาว ทุกครั้งที่มีคนอุดหนุน เดินมาอีกร้าน ขายเสื้อผ้า(อีกแล้ว) บอกคนขายว่า “อยากอุดหนุน แต่ใส่ไม่ได้” เลยถามไปว่า “ถามหนูจริงๆ หลังไฟไหม้ร้าน ร้องไห้ไปกี่วัน” เธอบอกว่า “ร้องอยู่สามวันเต็มๆ จนไม่มีน้ำตาจะไหล หนูไม่เข้าใจ ทำไมคนเราถึงใจดำต่อกันขนาดนี้” ดิฉันแสลงในอก นึกในใจว่า “กรรมของประเทศ กรรมของสังคมไทย มันซับซ้อนนัก หนูเอ๋ย”
3.แข็งเหมือนหินและสลายเหมือนเถ้าธูป
.....มาถึงร้านขายกระเป๋า ดิฉันเห็นกระเป๋าใบโตใส่ของจุใบหนึ่ง จึงหยุดดู คนขายดูอยากขายมาก จึงหยุดสนทนากับเธอ และในที่สุดก็ตัดสินใจอุดหนุน คุยกับเธออยู่นาน รู้สึกเหมือนกันว่าสำเนียงเธอแปร่งๆ เล็กน้อย แต่เป็นคนคุยสนุก และเป็นมิตรมาก(คุณม.มาบอกทีหลังว่า น่าจะเป็นแรงงานพม่า) ร้านนี้ก็ถูกไฟเผาหมดเช่นกัน ดิฉันก็เหมือนเดิม คือ เพิ่มราคาให้เธอไปเล็กน้อย และลองตั้งคำถามที่ต่อยอดมาจากร้านที่แล้ว “หนูร้องไห้อยู่กี่วัน” “หนูไม่ได้ร้องไห้ แต่หนูพูดไม่ออก”
.....แล้วเธอก็หายไปพักหนึ่ง ไปพาหญิงสูงวัยกว่าเธอ แต่เด็กกว่าดิฉันเข้ามาหา หญิงคนนั้นเป็นคนส่งเงินทอนให้ดิฉัน หญิงสาวคนขายบอกกับเธอว่า “พี่เขาอยากรู้ว่า เจ๊ร้องไห้กี่วัน” ดิฉันจึงต้องเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง เพราะถึงตรงนี้รู้แล้วว่า คนขายเป็นเพียงลูกจ้าง เรื่องราวยาวเหยียดจึงออกจากปากเจ้าของร้าน ซึ่งเป็นอีกร้านหนึ่งของสยามสแควร์ที่ถูกเผา
.....เธอเล่าให้ดิฉันฟังถึงความเดือดร้อนตลอดช่วงของการชุมนุมของคนเสื้อแดง เล่าถึงการมีรายรับที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับรายจ่ายมหาศาล เพราะค่าเช่าร้านในย่านนี้แพงมาก ส่วนลูกน้องก็ต้องรักษาไว้ให้ได้ เพราะกว่าจะได้ลูกน้องดีๆ รู้งาน ไว้วางใจกันได้ เข้ากันได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นภาระทุกอย่างจึงต้องแบกรับไว้ทั้งหมด ต้องเอาเงินเก็บมาใช้จ่ายออกไปทุกๆ วัน รอคอยความหวังว่าจะได้กลับมาขายอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเมื่อการชุมนุมยุติ ก็หวังว่าจะได้กลับมาดำเนินชีวิตปกติได้
.....แต่แล้วพอชุมนุมยุติ ร้านกลับถูกเผาจนหมด ช่วงนั้นเป็นช่วงเคอร์ฟิว ได้แต่ดูข่าวจากทีวี “พี่รู้ไหม หนูไม่เคยร้องไห้เลยนะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตอนขายอะไรไม่ได้ เปิดร้านแบบตายซาก หนูอยากร้องไห้หลายครั้ง แต่ก็ไม่รู้จะร้องไปทำไม พอมาถึงตรงเผา หนูน่าจะร้องไห้ แต่หนูไม่ได้ร้อง มันร้องไม่ออก มันอึ้งน่ะพี่ มันอึ้งไปหมด มันเหมือนหนูแข็งเป็นหิน วันนั้นหนูจุดธูปแช่งเลยนะ แช่งทักษิณกับพวก มันใจดำมาก ขี้เถ้าธูปที่ร่วงใส่มือหนู มันเหมือนหินที่ตัวหนูที่มันค่อยๆ แหลกยุ่ยลงมา เหมือนกันเลยพี่ แต่หนูไม่มีน้ำตานะ” ดิฉันได้แต่กุมมือเธอด้วยความเห็นใจ
.....ด้วยความที่คุยกันอยู่นาน ดิฉันจึงสามารถถามลึกถึงป้ายที่ดิฉันเห็นจากที่มีคนถ่ายรูปไว้หลังเหตุการณ์ เป็นป้ายของร้านต่างๆ หลายร้านที่ขึ้นหน้าร้านว่า เป็นร้านของคนเสื้อแดง ขอให้ยกเว้นอย่าเผา เป็นข้อความในทำนองนั้น ดิฉันถามเธอต่อว่า “เป็นร้านของคนเสื้อแดงจริง หรือว่า พวกเขาแค่ขึ้นป้ายเอาตัวรอดคะ” เธอตอบว่า “บางร้านก็แค่เอาตัวรอด แต่บางร้านก็เป็นเสื้อแดงจริงๆ แถวนี้ก็มีร้านที่ชอบเสื้อแดงเยอะนะพี่” ดิฉันจึงถามต่อว่า “แล้วร้านเสื้อแดงถูกเผาบ้างไหม” “ก็ถูกเผาหลายร้านแหละพี่ ไฟน่ะพี่ มันไม่เลือกสีหรอก ลองลามแล้ว ก็ลามไปหมด ร้านแถวนี้ ก็ร้านเล็กร้านน้อย ติดกันเป็นแพ ที่มันแพงขนาดนี้นี่” “แล้วนี่ร้านเสื้อแดงที่ถูกเผา เขามาออกร้านด้วยไหมนี่ ก็น่าสงสารเหมือนกันนะ ถูกกระทำจากพวกเดียวกันแท้ๆ ” ดิฉันแสดงความคิดเห็น “หนูไม่รู้นะ มันก็กระจายกันไป ตัวใครตัวมัน แต่ถ้าหนูเจอพวกนี้ หนูไม่พูดด้วยนะ หน้าหนูก็ไม่อยากมอง” เสียงของเธอบอกความเจ็บช้ำร้าวลึก
.....ดิฉันเห็นอะไรหลากหลายมิติจากร้านขายกระเป๋านี้ เห็นความรักความเข้าใจในระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง เห็นความทุกข์ ความเจ็บช้ำ ความโกรธแค้น ที่เราเองไม่สามารถช่วยบรรเทาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพยายามให้คนกลับมาสมานรอยร้าวต่อกันในช่วงเวลาเช่นนี้ ดิฉันถามเธอว่า “หนูเชื่อไหมว่า กรรมมีจริง หนูเชื่อไหมว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม” เธอบอกว่า เธอเชื่อ ดิฉันจึงได้แต่ขอให้เธอ ยืนหยัดในกุศลธรรม ยืนหยัดในความเป็นสุจริตชน มานะพลิกฟื้นตัวเองให้ได้ และก้าวต่อไป ดิฉันบอกกับเธอว่า มีคนจำนวนมากที่เอาใจช่วยผู้ประสบภัยโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างเธออยู่
4.มากกว่าสิ่งที่เห็น
.....หลังคุยกับร้านขายกระเป๋าร้านนี้แล้ว คุณม.จึงพาดิฉันไปเดินดูร้านเดิมของชายหนุ่มคนขายขนมไข่ใส่ไส้คนนั้น สิ่งที่เห็นประจักษ์แก่ตาว่า ไม่เฉพาะแต่ร้านที่ถูกไฟไหม้ไปเท่านั้น แต่ล็อคข้างเคียงต้องถูกปิดไปด้วย ไม่เพียงเท่านั้น บริเวณอื่นที่ไม่ถูกเผา หรือไม่ถูกตีปิดห้ามเข้า ก็พลอยกลายเป็นที่ซึ่งคนเขาไม่เดินกันเข้ามา แม้เปิดร้านอยู่ ก็ดูวังเวงมาก แต่ที่น่าสงสารกว่านั้น คือ บรรดาร้านที่ไม่ได้ถูกเผาที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม เมื่อทั้งซอยเงียบสนิทเป็นป่าช้า ไม่มีใครเดินผ่านอีกต่อไป แม้ร้านเหล่านี้ยังคงเปิดปกติ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าไปใช้บริการเลยในช่วงที่เราเดินผ่านไป
.....เพื่อที่ดูอาณาบริเวณที่ถูกไฟเผาได้ชัดเจน เราจึงขึ้นไปบนสะพานลอย แล้วมองลงมายังโรงหนังสยามและบริเวณโดยรอบ ถ้ามองจากด้านบนจึงจะเห็นความเสียหายชัดเจน เพราะด้านล่างถูกสังกะสีตีปิดหมด เพื่อกันเป็นอาณาเขตห้ามเข้าเพราะไม่ปลอดภัย และอาจเพื่อความสะดวกในการฟื้นฟูบูรณะใหม่ นอกจากบริเวณโรงหนังสยามและบริเวณรอบๆ แล้ว ยังมีพื้นที่ห้างร้านที่ถูกเผาอีกเป็นจุดๆ ส่วนๆ เป็นระยะๆ ซึ่งเราได้ค่อยๆ เดินเลาะดูไปเรื่อยๆ
.....หลังจากนั้นเราจึงข้ามกลับไปฝั่งสยามพารากอน เลยเข้าไปดูบรรยากาศในห้าง คิดว่าจะมีการเปิดพื้นที่ขายของ ปรากฏว่า งานเขาหยุดไปแล้ว ส่วนรองเท้าคู่เก่งของดิฉันก็ทำพิษ เดินมาไม่นานฝ่าเท้าเจ็บ ต้องไปหาพลาสเตอร์ยามาปิด เราดูที่นี่เดี๋ยวเดียว เห็นแต่ว่าคนที่นี่มากกว่าคนในห้างสยามดิสคัฟเวอรี่ ดูเหมือนชีวิตเกือบเข้าสู่ความเป็นปกติแล้ว
.....ออกจากสยามพารากอน ก็ไปวัดปทุมวนารามต่อ เข้าไปในวัดจึงนึกออกว่า ทำไมจึงมีการพูดกันถึงเรื่อง “ยิงลงมาจากรถไฟฟ้า” ตอนที่เราไปเดินสำรวจไม่มีร่องรอยการเข้ามาอาศัยพักพิงของผู้ชุมนุมอีกต่อไปแล้ว ได้แต่คะเนจากสถานที่ว่า จุดไหนน่าจะเป็นที่ตั้งเต้นท์พยาบาล จุดไหนน่าจะเป็นที่พักของผู้ชุมนุม เมื่อนึกเทียบกับคลิปวีดิโอจำนวนมากที่เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ต้องยอมรับว่าภาพส่วนนี้ยังมืดดำอยู่ มีหลายกลุ่มที่มีศักยภาพที่จะทำเรื่องอำมหิตเช่นนี้ได้ ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้ต้องค่อยๆ สางออกมาตามลำดับไป เพราะเป็นเรื่องที่มีเป้าประสงค์ มีฝ่ายที่ได้รับประโยชน์จากกรณีนี้อย่างชัดเจน
.....ในวัดนี้ คุณม.แวะเข้าไปหาคนงานก่อสร้าง เพื่อขอน้ำล้างเนื้อล้างตัว และได้รับไมตรีจิตอย่างดีจากคนงานเหล่านั้น ฝั่งตรงข้ามวัดเป็นถนนอังรีดูนังต์ เราสังเกตการณ์จากด้านบนสะพานลอยใต้ที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า เห็นอาณาบริเวณการเผาอาคารห้างร้านจากสยามสแควร์มาจนถึงริมถนนอังรีดูนังต์ ซึ่งอาคารริมถนนบางส่วนถูกตีสังกะสีปิด บางส่วนด้านหน้าเหมือนไม่โดนเผา แต่เจ้าของอาคารเอาป้ายมาแขวนให้รู้ว่า ย้ายไปตั้งที่ ทำการชั่วคราวตรงไหนบ้าง เดินย้อนไปดูด้านหลังอาคารเหล่านี้ เห็นแต่ละหลังถูกไฟเผาผลาญมากน้อยแตกต่างกันไป
.....นึกย้อนไปถึงหลังเหตุการณ์จบลงใหม่ๆ ในวันแรกที่เปิดให้เดินรถได้ ดิฉันอาศัยรถน้องศ. พามาตระเวนดูความเสียหายในละแวกนี้ เธอขับรถวนไปรอบๆ บริเวณ การตระเวนดูพื้นที่ครั้งๆ ยังหมาดๆ ดิบๆ ค่อนข้างมาก ยังไม่มีสังกะสีมาตีปิด สามารถเห็นร่องรอยความเสียหายทะลุปรุโปร่ง และสามารถเห็นความสามารถในการเผาเป็นจุดๆ เป็นส่วนๆ แบบมุ่งเป้าชัดเจนในหลายพื้นที่
.....ตอนดูข่าวดิฉันเห็นภาพการรบของทั้งสองฝ่าย ที่ฝ่ายรัฐบาลรบในรูปแบบ ส่วนฝ่ายนปช.รบนอกรูปแบบชัดเจน มาเดินดูคราวนี้ ดิฉันยิ่งมั่นใจเพิ่มขึ้นว่า การเผาเมืองครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนสำรองที่ถูกนำมาใช้ โดยหมายมั่นปั้นมือให้เกิดการจลาจลขนาดใหญ่แบบมีการชี้นำแล้วให้ลุกลามแบบเป็นไปเอง แต่ส่วนใหญ่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับมาจากการเผาแบบมีการชี้นำ ส่วนที่ลุกลามแบบเป็นไปเอง โดยความบ้าคลั่งของฝูงชนนั้นกลับมีผสมโรงไม่มากนัก
5.เซ็นทรัลเวิลด์ ห้างเกสร
.....จากวัดปทุมวนาราม เรามุ่งหน้าไปทางเซ็นทรัลเวิลด์ฯ ผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติและโรงพยาบาลตำรวจ เพิ่งสังเกตเห็นว่า เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นอาคารที่ใหญ่โตจริงๆ พื้นที่ๆ ที่ถูกไฟไหม้ใหญ่โตมโหฬาร เพราะไหม้อยู่หลายวัน แต่ที่เสียหายหนักจริงๆ ก็แค่หนึ่งในสามของพื้นที่ อีกหนึ่งในสามแม้ถูกไฟไหม้แต่ก็ยังพอฟื้นฟูบูรณะได้ ส่วนที่เป็นอาคารสำนักงานยังดำเนินกิจการต่อได้ ที่จริงสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ฝั่งตรงข้ามแท้ๆ แต่ตำรวจส่วนใหญ่กลับวางเฉย ต่อการเผาอาคารนี้ ที่จริงตำรวจก็มักวางเฉยต่อการกระทำใดๆ ที่ผิดกฎหมายของผู้ชุมนุม หรือแสดงออกอย่างอื่นๆ อีกมากซึ่งบ่งบอกว่าตำรวจยืนอยู่ข้างผู้ชุมนุม สนับสนุนผู้ชุมนุม แต่การวางเฉยต่อการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ที่อยู่ต่อหน้าต่อตา หรือการทำไม่รู้ไม่เห็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องเกินไป น่าอายมากที่ภัยพิบัติชนิดนี้ เกิดขึ้นหน้าสำนักงานใหญ่ของตนเอง
.....มองจากทางเดินเชื่อมต่อลงมาด้านล่าง เราจะเห็นบริเวณที่ตั้งเวทีเดิมซึ่งตั้งเยื้องปิดสี่แยกราชประสงค์ หันด้านหลังเวทีให้ศาลพระพรหมซึ่งอยู่ด้านหน้าของโรงแรมไฮแอทเอราวัณ ด้านหน้าเอียงเข้าหาเซ็นทรัลเวิลด์และโรงพยาบาลตำรวจ อันเป็นลักษณะที่หมอดูและซินแสต่างๆ ทักกันขรมว่า นปช.กำลังตั้งเวทีแบบ “หันหลังให้พระ หันหน้าให้ผี” แต่ขณะนี้ไม่มีเวที นปช.
มองไปที่ศาลพระพรหม มีผู้ค้ารายย่อย ดอกไม้บูชาพระพรหม ช้างไม้สักตัวเล็กๆ หรือแผงขายล็อตเตอรี่ ภายในตัวศาลมีคณะละครแก้บนรอคนมาว่าจ้างอยู่ ทุกอย่างค่อนข้างเงียบเหงาเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ปกติที่เราเคยพบเห็น ฝั่งตรงกันข้ามเป็นห้างหรู คือห้างเกสร ซึ่งดิฉันเองก็ไม่เคยเข้าห้างนี้มาก่อน ตรงหัวถนนมองลงไปเห็นห้างหลุยส์วิกตองเด่นเป็นสง่าอยู่บริเวณหัวมุม อันเป็นทำเลโดดเด่นที่สุดของห้างเกสร จึงเข้าใจสิ่งที่น้องๆ หลายคน เล่าให้ฟัง เรื่องเจ้าของห้างมาแจกเงินผู้ชุมนุมอยู่หน้าร้านหลุยส์วิกตอง เพื่อขอร้องไม่ให้เข้าห้าง จึงหลุดพ้นจากการปล้นและเผาไปได้ น้องคนหนึ่งเล่าให้ดิฉันฟังว่า ร้านหลุยส์วิกตองมี 2 ร้านในย่านนี้ ร้านที่อยู่ตรงห้างเกสรปลอดภัย แต่อีกร้านไม่ใช่นะ โดนเหมือนกัน “แต่พี่สังเกตสิ กุชชี่ จะหลุดออกมาเยอะกว่า หลุยส์วิกตอง เพราะฝั่งเกสรเขารักษาไว้ได้”
.....เราเข้าไปใช้ห้องน้ำในห้างเกสร ดิฉันสังเกตเห็นว่าห้างนี้หรูหรากว่าเซ็นทรัลเวิลด์เสียอีก อดแสดงความเห็นกับคุณม.ไม่ได้ว่า “คนที่มาชุมนุมเขาก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าชีวิตปกติของคนกรุงเทพฯน่ะไม่ได้เดินห้างอย่างนี้หรอก อย่างเซ็นทรัลเวิลด์พี่กับลูกก็ไม่เดินนะ จะไปอาศัยจอดรถ แล้วไปเดินแพลทตินัม หรือ พวกห้างสรรพสินค้าขายส่งอื่นๆ ในย่านนี้มากกว่า
.....ผู้ชุมนุม เขาไม่รู้หรอกว่า คนกรุงเทพฯทั่วๆ ไป ต้องประมาณการใช้จ่ายมาก ไม่อย่างนั้นก็จะชักหน้าไม่ถึงหลัง เขาเห็นแต่ตึกใหญ่โตโอ่อ่า แล้วก็ถูกป้อนข้อมูลผิดๆ เข้าไป คิดว่าคนกรุงเทพฯทั่วไปร่ำรวยหรูหราเหลือเกิน” แล้วเราก็ข้ามสะพานไปดูอีกบริเวณที่เซ็นทรัลเวิลด์ถูกเผาผลาญ คุณม.บอกว่า หลายวันก่อนมาบริเวณนี้ยังไม่มีการกั้นรั้ว มองเข้าไปภายใน การฟื้นฟูบูรณะกำลังเริ่มขึ้นแล้ว เหมือนกับหลายๆ แห่งที่ผ่านมา
.....ออกจากห้างเกสร เราไปดูห้างบิ๊กซีที่ถูกเผาบางส่วน แล้วมุ่งไปราชปรารภ อันเป็นพื้นที่ซึ่งทหารเคยติดประกาศว่าเป็นเขตกระสุนจริง ถึงตรงนี้ ดิฉันหยุดปะพลาสเตอร์ที่ฝ่าเท้าเพิ่มขึ้น เพราะยังจะต้องเดินกันอีกยาว เนื่องจาก วันนี้ดิฉันตั้งใจมาเดิน และจะเดินไปให้ถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
6.ช้าๆ ชัดๆ มีศีลมีสัตย์ และอย่าเบียดเบียนกันอีกเลย
.....การเดินไปทีละก้าว ทำให้เราสังเกตเห็นสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวได้ดีกว่าการใช้รถ การจะเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่สลับซับซ้อนนั้น การเคลื่อนไปอย่างช้าๆ อาจจะดีกว่าการไปอย่างเร็วๆ ในการทำกรรมฐาน เราก็อาศัยการเคลื่อนไหวช้าๆ นี้เอง ที่ทำให้เราสามารถ “รู้กาย เห็นใจ” ได้ทันปัจจุบันขณะ
.....จริงอยู่ เรากำลังเดินดูอดีตที่ย่อยยับ อันเกิดจากการต่อสู้แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ อันเกิดจากการกระทำของความไม่มีศีลมีสัตย์ ทำให้คนเบียดเบียนและทำร้ายกัน ก่อเกิดเหยื่อจากการเบียดเบียนนั้นอย่างมหาศาล มโหฬาร ของทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายที่ตกเป็นตัวประกัน คือบรรดาหญ้าแพรกทั้งหลาย
.....ความสูญเสียเหล่านี้ไม่เพียงเป็นไปในแง่ของชีวิตหรือทรัพย์สิน แต่ยังรวมถึงจิตใจที่บอบช้ำสุดคณา แม้ตาเราจะเห็นร่องรอยความเสียหายจากอดีตที่เพิ่งผ่านพ้น แต่เท้าเราก็กำลังก้าวเดินอยู่ในปัจจุบันด้วย
.....เรื่องคนตาย ต้องว่ากันไปตามเนื้อผ้า ทีละส่วนๆ ค่อยๆ ทำความจริงให้ปรากฏออกมา ให้ความเป็นธรรมกับญาติมิตรผู้เสียชีวิตทุกฝ่าย เพราะมีเรื่องซ่อนเงื่อนจำนวนมาก ส่วนทรัพย์สินก็เสียหายไปแล้ว แต่เรื่องของคนอยู่ที่รับผลกระทบโดยตรง ทั้งญาติพี่น้องผู้เสียชีวิต
.....ซึ่งผู้เสียชีวิตมีทั้งส่วนที่เป็นการ์ดนปช. ส่วนที่เป็นผู้ชุมนุมที่มาด้วยใจบริสุทธิ์ ส่วนที่เป็นฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือนที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ รวมถึง ผู้เสียชีวิตที่ถูกลูกหลง ยังผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมาก คนเหล่านี้ไม่เพียงร่างกายที่ถูกทำร้าย แต่จิตใจก็ถูกทำร้ายด้วย ทุกฝ่าย ทุกคน
.....ส่วนทรัพย์สินที่เสียหาย ไม่ใช่ไม่มีความเกี่ยวพันกับคน แต่ทำให้ผู้คนจำนวนนับหมื่นครอบครัวตายทั้งเป็นเพราะถูกเผาผลาญหรือปล้นทรัพย์สิน ต่างสิ้นเนื้อประดาตัว หันหน้าไปทางไหนก็ยากที่จะหาที่พึ่งพา เพราะคนรอบตัวที่อยู่ในแวดวงเดียวกัน ก็มาพลอยประสบเหตุ ไม่ถูกกระทบทางตรงก็ทางอ้อม เพราะวงจรทางธุรกิจถูกกระทบไปด้วย
.....บาดแผลทางใจของเหตุการณ์ครั้งนี้จึงบาดลึกเกินเยียวยา แต่แม้แผลใจจะลึกล้ำมาก หากพวกเขาก็พาลุกยืนขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่เพราะความเข้มแข็ง แต่เพราะต้องมีชีวิตอยู่ และสายป่านที่เหลือก็สั้นมาก มิฉะนั้นก็จะไม่สามารถกอบกำชีวิตที่เหลือไว้ได้
.....นี่เป็นสิ่งที่นักสังคมศาสตร์ไม่เคยเข้าใจ นักมานุษยวิทยาก็ไม่สนใจชุมชนเมือง นักเศรษฐศาสตร์เห็นแต่ตัวเลข นักรัฐศาสตร์มองอะไรๆ เป็นเกมการเมือง นักกฏหมายเห็นแต่ลายลักษณ์อักษร ส่วนนักประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยใส่ใจต่อประวัติศาสตร์คนจนเมือง เขาจึงไม่รู้ว่า เมืองใหญ่กับคนจนนั้นผูกพันกันมากแค่ไหน เมืองใหญ่เป็นบ่อเกิดของคนจนอย่างไร ทำไมคนจนจึงเป็นประชากรส่วนใหญ่ของคนเมือง และเขายิ่งไม่เข้าใจกลไกทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของเมืองใหญ่ อย่างกรุงเทพฯ พวกเขาอธิบายอะไรได้เป็นคุ้งเป็นแคว แต่กลับไม่เข้าใจเรื่องของชีวิต ไม่เข้าใจเรื่องของผู้คนและความเกี่ยวพันของผู้คน
.....แต่ดิฉันเกิดและเติบโตในหมู่คนจน ได้เห็นการสร้างฐานะ การเลือกเลื่อนฐานะของคนเหล่านี้ และได้เห็นการตกต่ำจากคนในฐานะอื่นมาเป็นคนจนอีกด้วย ดิฉันยังเป็นชาวบ้านธรรมดาที่เข้าใจเรื่องศีล
.....ว่า ศีลเป็นสำนึกเบื้องต้นแห่งความเป็นมนุษย์ การรักษาศีล คือ การแสดงออกถึงสำนึกแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชีวิตอื่นๆ ก็ด้วยสำนึกนี้ จึงมีศีลเกิดขึ้น เกิดการเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีเมตตา ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ประทุษร้ายผู้อื่น ไม่หลอกลวง ไม่กล่าวโทษผู้อื่นผิดๆ ไม่ละเมิดทรัพย์สินสิ่งของ ของรักของหวงของผู้อื่น ทำให้เราหลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็นการเบียดเบียนกัน ทำให้จิตใจเราอ่อนโยน เมื่ออ่อนโยนก็สามารถควบคุมไม่ให้เราไปทำร้ายคนอื่นเพราะความโกรธ ไม่แย่งชิงของคนอื่นเพราะความโลภ ไม่หน้ามืดขาดสติเพราะบันดาลโทสะ หรือเพราะความคิดเห็นผิด
.....ถ้าเรามีศีลอยู่เป็นปกติในใจเรา เราก็จะเกรงใจคนอื่น เห็นใจคนอื่น ยินดีรับฟังปัญหาของคนอื่น เห็นคนอื่นๆ มีชีวิตจิตใจเหมือนเรา และเป็นเสมือนพี่น้องของเราได้ ซึ่งจะทำให้เราเห็นชีวิตแต่ละชีวิตเกี่ยวพันกันไป และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือต่างมีความรู้สึกนึกคิด สุข และ ทุกข์ได้เหมือนๆ กัน ไม่ว่ายากดีมีจน
- ทุกข์ของผู้คน ทุกข์ของแต่ละส่วน คือทุกข์ประเทศ
.....เวลาเข้ากรรมฐาน หลวงพ่อสอนให้ดิฉันเคลื่อนไหวช้าๆ เพราะเมื่อเคลื่อนไหวช้าๆ จึงสามารถกำหนดรู้ได้ชัดเจน ดิฉันยังชอบคำสอนของท่าน ก.เขาสวนหลวง ที่สอนให้เรา “เอาทุกข์เป็นบทเรียน”อีกด้วย จึงคิดว่า ถ้าหากประเทศไทยเป็นคนๆ หนึ่ง เราจะสามารถเอาทุก์เป็นบทเรียนได้อย่างไรหนอ และดังนั้น ดิฉันจึงพยายามที่จะ “รู้ทุกข์” ของประเทศ เท่าที่จะเป็นไปได้
.....แต่ประเทศก็กว้างใหญ่ เราเองก็เป็นแค่ชาวบ้านจนๆ คนหนึ่ง ดิฉันจึงเน้นที่จะเปิดใจรับฟังเรื่องของคนทุกข์ โดยเน้นเรื่องราวที่เป็นรูปธรรม ฟังเรื่องของคนเก็บขยะ ฟังเรื่องของวินมอเตอร์ไซค์ ฟังเรื่องของแท็กซี่ ฟังเรื่องของพ่อค้าแม่ค้ารถเข็น แผงลอย พนักงานลูกจ้าง รวมไปถึงผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยของแยกราชประสงค์ บางส่วนคุยตรง บางส่วนคุยผ่านเน็ต
..... เฉพาะเรื่องเหตุการณ์ชุมนุมคนเสื้อแดง ดิฉันรับฟังมานับร้อยๆ ราย จนมาเกิดเหตุการณ์พฤษภาเลือดและการเผาบ้านเผาเมือง ดิฉันจึงต้องเข้าเมือง มาเดินสำรวจ มามองสิ่งต่างๆ ให้เห็นกับตา มาฟังกับหู มาคุยกับผู้คน เพื่อสอบทานสิ่งที่เราเคยเรียนรู้ก่อนหน้านี้ เพื่อเก็บรับทุกความรู้สึกของผู้รับผลกระทบทางตรงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
.....เมื่อเราเดินไปถึงถนนเพชรบุรี ข้ามฟากไปยังประตูน้ำคอมเพล็กซ์ ดิฉันชะลอเท้าลงเพื่อฟังแม่ค้าแผงลอยปรับทุกข์กัน จับใจความได้ว่า แม้พวกเธอไม่ถูกเผาแผง แต่ก็สูญเสียรายได้จำนวนมากระหว่างที่การชุมนุมดำเนินอยู่ ทำให้ต้องชักหน้าไม่ถึงหลัง
.....ดิฉันอดเหลือบตามองอาคารใหญ่ชื่อประตูน้ำคอมเพล็กซ์อย่างพินิจไม่ได้ อดมองท้องถนนอย่างสะท้อนใจไม่ได้ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าพ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้ต้องจ่ายเงินส่งส่วยให้ตำรวจเป็นประจำ แต่ตำรวจกลับไม่คุ้มครองพวกเขา ส่วนประตูน้ำคอมเพล็กซ์ของเฮียปอ ประตูน้ำ ก็ชวนให้นึกถึง เรื่องเล่าของชาวประตูน้ำ เกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งในละแวกนี้ ที่ว่า ใครเดือดร้อนอะไรก็ไปหาเฮียปอ ให้เฮียปอเคลียร์ให้ แต่บัดนี้ เมื่อเฮียปอ สนิทชิดเชื้อกับแกนนำนปช.จนถึงกับให้ที่พักพิงแกนนำเหล่านั้น ชาวบ้านร้านตลาดที่ถูกนปช.จับเป็นตัวประกัน กลับหันหน้าไปหาใครไม่ได้เลย
.....เราแวะกินข้าวเย็นที่ประตูน้ำ ดิฉันเจ็บเท้ามากขึ้นจึงซื้อถุงเท้ามาใส่ เพราะต้องการเดินอีกหลายแห่ง ละแวกนี้เป็นย่านที่ดิฉันมักมาเดินคุยกับชาวบ้านร้านตลาด ตั้งแต่เกือบสามสิบปีก่อน และมักมีเรื่องให้มาเดินเป็นระยะๆ จึงเห็นความเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ว่าก่อนที่จะกลายเป็นศูนย์รวมของการค้าปลีกค้าส่งพวกเสื้อผ้า เครื่องแต่งตัว เครื่องประดับ ตลาดประตูน้ำเคยเป็นอย่างไรมาก่อน แต่ละแผงย้ายจากตลาดขึ้นไปตั้งแผงบนห้างกันอย่างไร แต่ละห้างบรรจุผู้ค้าย่อยๆ ไว้มากมายแค่ไหน แต่ละร้านขายปลีกอย่างไร ขายส่งอย่างไร เกี่ยวพันกับพวกโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า โรงงานผลิตเครื่องหนัง หรือเครื่องประดับต่างๆ อย่างไร ลูกค้ามากหน้าหลายตา ทั้งคนไทย และต่างประเทศ ผิวขาว ผิวเหลือง ผิวดำ หัวแดง หัวดำ มีทั้งนั้น
.....คนเหล่านี้เป็นคนชั้นกลางที่ทำมาหากินโดยสุจริต พยายามไม่มีปากมีเสียงกับใคร โดยเฉพาะผู้มีอำนาจมีอิทธิพลทั้งหลาย สร้างเนื้อสร้างตัวสะสมมายาวนานกว่าจะขึ้นห้างได้ หลายๆ ร้านการสะสมทุนมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย
- ในหมู่มวลมนุษย์ แท้จริงมีแต่เพื่อนมนุษย์
.....เราเดินไปตามซอกซอยในละแวกนั้น ภาพเจนตาของเราก็คือ หลังอาคารทันสมัยใหญ่ยักษ์ มีตึกเล็กๆ แฟลตเล็กๆ ตึกแถวเล็กๆ เรียงรายอยู่ หลังตึกสูงมีผู้คนอาศัยแออัดยัดเยียดกันอยู่ ซอกเล็กซอกน้อยมีร้านค้าเล็กๆ น้อยๆ ดำรงอยู่ และแม้แต่แฟลตเล็กๆ ห้องน้อยๆ พอซุกหัวนอน ก็ยังระบุอัตราค่าเช่าถึงเดือนละ 3,500-4,000 บาท พวกนี้เป็นที่อยู่อาศัยของคนชั้นกลาง พนักงานออฟฟิซ หรือนักศึกษา ส่วนคนจนกว่านั้น ต้องอยู่แบบแออัดยัดเยีอดและซอมซ่อยิ่งกว่านั้น องค์ประกอบของชีวิตในแยกราชประสงค์มีตั้งแต่สูงเสียดฟ้า จนถึงต่ำจนหญ้าบัง แทรกตัวอยู่ในทุกกลไกของสังคม
.....ดิฉันเศร้าใจทุกครั้งที่เห็นนักวิชาการ นักสันติวิธี นักสักขีอาสา นักสิทธิมนุษยชน เดินเข้าๆ ออกๆ เวทีราชประสงค์ แต่กลับมองไม่เห็นชีวิตและความเป็นไปรอบๆ เวทีราชประสงค์ ราวกับชีวิตเหล่านี้ไม่ใช่ชีวิต ที่จริงชีวิตเหล่านี้ ก็คือสิ่งมีชีวิตในนิเวศวิทยาเมือง ที่ไปไหนไม่รอด แต่กำลังถูกทำลายแหล่งอาหาร และพวกที่มีสายป่านสั้น ถ้าไม่อพยพออกจากพื้นที่ ก็ทยอยตายกันไปตามๆ กัน
.....แต่เหมือนปัญญาชนเหล่านั้นเห็นชีวิตเหล่านี้ไม่ใช่ชีวิต ไม่ใช่เพื่อนมนุษย์ ผู้ที่ออกมาพูดถึงความเดือดร้อนของคนกรุงเทพฯ ก็พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ว่าเป็นเรื่องของจราจรติดขัด เรื่องของการไม่ได้เดินห้างติดแอร์ ซึ่งไร้สาระมาก ขาดลอยจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง ชีวิตคนกรุงเทพฯส่วนใหญ่ไม่ใช่คนกรุยกรายลอยฟ้าแบบนั้น แต่เป็นชีวิตของคนปากกัดตีนถีบ ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่รอดให้ได้ ดิฉันรู้สึกว่า ปัญญาชนเหล่านั้น ถ้ารู้ แต่พูดบิดเบือนก็ใจดำอำมหิตมาก ถ้าเขาไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้จริงๆ พวกเขาก็โง่เขลากันมากเหลือเกิน
.....ตรงแยกประตูน้ำ คุณม.อธิบายให้ดิฉันเห็นว่า จุดไหนเป็นจุดที่นปช.ตั้งด่านยางรถยนต์และไม้เหลาแหลม จุดไหนเป็นจุดที่ทหารตั้งบังเกอร์ ฝ่ายนปช.ใช้ยุทธการขนมชั้นโอบมาด้านหลังอย่างไร ทำไมจึงมีระยะกระสุนจริงของทหาร ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เราเห็นได้ว่า ทำให้ในระยะยิงไม่มีการเผาเกิดขึ้นเลย และทำไมแทนที่ชาวบ้านละแวกนี้ส่วนใหญ่จะโกรธแค้นทหารที่มายิงกันกลางเมืองกับนปช. กลับรู้สึกอุ่นใจที่มีทหารมาปกป้อง
.....แต่ถามว่าตลอดระยะเวลาของการชุมนุม เขาลำบากกันมากไหม เขาลำบากกันเลือดตากระเด็นทีเดียว ช่วงแรกของการชุมนุมเป็นช่วงที่เสมือนเลือดไหลออกจากตัวไม่หยุดหย่อน ส่วนช่วงหลังของการชุมนุมก็เป็นช่วงของความรู้สึกอยู่กลางสมรภูมิ อยู่ท่ามกลางความใจหายใจคว่ำ ชีวิตเหมือนแขวนบนเส้นด้าย
.....ดิฉันสังเกตว่าตลอดเส้นทางเดินมาสู่ถนนราชปรารภ แผงเล็กแผงน้อยหายไปเป็นจำนวนมาก จากที่เคยตั้งเป็นแพติดกันตลอดแนวถนน กลายเป็นวางเป็นระยะ บางตอนโหว่หายเป็นช่วงยาวๆ แผงเหล่านี้จะเรียงขนานไปกับแนวถนน ในขณะที่ตึกแถวก็จะวางแผงของตนยื่นออกมาเหมือนกัน ร้านที่ไม่ตั้งแผงเองก็ให้ผู้ค้าย่อยเช่าตั้งแผงขายของ เว้นที่ตรงกลางให้คนเดินผ่าน
แผงเล็กแผงน้อยเหล่านี้จะขายของจิปาถะ เสื้อกล้าม, ถุงเท้า, ผ้าเช็ดหน้า, พวงมาลัย, กิ๊บติดผม น้ำดื่ม หรือของกินเล็กๆ น้อยๆ คนขายของพวกนี้สายป่านสั้นมาก เหมือนหาเช้ากินค่ำ ถ้าหากขายไม่ได้สักพัก ก็ต้องผันตัวเองไปทำอย่างอื่น และถ้าประตูน้ำยังไม่กลับมาคึกคัก ก็คงยังกลับมาขายกันไม่ได้ ดิฉันชี้ให้คุณม.ดูแผงเล็กแผงน้อยเหล่านี้ “แผงพวกนี้คนจนทั้งนั้น พวกนี้ตายก่อน แต่ถ้าฟื้นก็ฟื้นก่อนเหมือนกัน เพราะเริ่มจากเล็กๆ”
.....เราเลี้ยวเข้าไปใต้ถุนโรงแรมอินทรา ดิฉันอยากดูร้านค้าในนั้น ปรากฏว่า บางส่วนกำลังปิดซ่อมแซมใหญ่อยู่ บางส่วนยังวางสินค้าขายตามปกติ แต่ปิดเร็วขึ้น จากเดิมค่ำๆ คนยังมาเดินกัน ตอนนี้ 6 โมงเย็นก็เริ่มปิดแล้ว ทะลุออกจากส่วนนี้ ก็ไปดูถนนซอยละแวกนี้ ไปดูสถานการณ์ค้าขายของแผงที่ใหญ่ขึ้นมา แต่ยังไม่ได้ขึ้นห้าง และดูตามร้านค้าตามตึกแถวต่างๆ รวมถึงที่อาคารใบหยกซึ่งก็เริ่มปิดแล้วเช่นกัน
- หลายชีวิตไม่เพียงเหลือแค่ศูนย์ แต่ยังติดลบ
.....จากประตูน้ำเราเดินต่อไปยังสามเหลี่ยมดินแดง ไปดูอาคารต่างๆ ที่ถูกเผา ดิฉันสังเกตเห็นว่า ร้าน 7-11 ถูกเผามากเป็นพิเศษ เห็นหลายแห่งทีเดียว บางร้านถูกปล้นก่อน แล้วมาเผาในวันหลัง ถึงตอนนี้ค่ำแล้ว ดิฉันเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็คงยังเดินไปข้างหน้า
.....เราจึงหยุดดูโรงแรมเซนจูรี่ปาร์ค ซึ่งเป็นโรงแรมหนึ่งซึ่งเจ้าของโรงแรมใช้วิธีปักธงแดงบนยอดตึก เพื่อเอาตัวรอดไว้ก่อน ไม่ให้เสื้อแดงเข้ามาเผา ถึงกระนั้น โรงแรมก็ยังถูกเผาบางส่วน หลังจากนั้น คุณม.หยุดที่วินมอเตอร์ไซค์แห่งหนึ่ง มองหาเพื่อนที่เป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพื่อที่จะถามไถ่เหตุการณ์เรื่องราวในบริเวณนี้ เพราะน่าจะเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ในบริเวณนี้ได้เป็นอย่างดี แต่บังเอิญไม่พบเพื่อน จากนั้นเราก็เดินหน้าต่อไป ตรงไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
.....บริเวณห้างเซ็นเตอร์วันถูกเผาพินาศทั้งหมด กลิ่นเหม็นไหม้และกลิ่นอาหารบูดเน่ารุนแรง เพราะชั้นล่างเป็นร้านอาหาร แต่ริมถนนยังคงเต็มไปด้วยแผงลอย สังกะสีถูกตีปิดพื้นที่ไฟไหม้หมดแล้ว แต่ซอยเลิศปัญญา ยังสามารถมองลึกเข้าไปเห็นความเสียหายจากไฟไหม้ได้ดี ซอยที่แคบทำให้เข้าใจว่า ทำไมรถดับเพลิงจึงเข้าไปได้ยากนัก ไม่ต้องนึกถึงความวุ่นวายโกลาหล และการปิดกั้นพื้นที่ของกลุ่มคนที่อยากเห็นความพินาศมากกว่านี้ เพราะหวังว่า ถ้าเผากันมากๆ แล้ว จะทำให้ UN นำกองกำลังต่างชาติเข้ามาแทรกแซงได้
.....เราต้องเดินขึ้นสะพานลอยเพื่อดูความเสียหายของบริเวณ ทำให้ได้เห็นว่าความเสียหายของห้างนี้มีมากขนาดไหน และร้านหนังสือดอกหญ้าพินาศเป็นจุลอย่างไร เรายังรู้ว่า มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคก็ถูกไฟไหม้ด้วย หลังจากเพิ่งเช่าอาคารของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นสำนักงานได้ไม่นาน แต่ไม่รู้ตำแหน่งที่ตั้งของมูลนิธิ
.....เซ็นเตอร์วันไม่ใช่ห้างใหญ่ ภายในซอยแบ่งเป็นร้านเล็กๆ จำนวนมาก ร้านเหล่านี้มีพื้นที่แต่ละล็อคไม่ใหญ่นัก เพียงขนาด 4 คูณ 4 เมตร ถึงกระนั้น แต่ละร้านก็ยังมักแบ่งให้คนอื่นเช่าช่วง ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ หรือกระทั่งแบ่งเป็นสี่ส่วน การเช่าช่วงก็ยังแบ่งซอยออกไปเป็นตามช่วงเวลา กลางวันและกลางคืนอีกด้วย เพราะอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นจุดต่อรถสารพัดชนิด ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า และรถตู้ จึงขายกันถึงเที่ยงคืน
.....ร้านค้าย่อยๆ เหล่านี้จึงเป็นของคนชั้นกลางระดับล่างและระดับกลางเท่านั้น ไม่ใช่ร้านของคนชั้นกลางระดับสูงหรือคนชั้นสูง เหมือนเซ็นทรัลเวิลด์ หรือ ห้างเกสร การเผาห้างเล็กๆ อย่างเซ็นเตอร์วัน จึงทำให้ธุรกิจของคนนับพันครอบครัวถูกเผาวินาศไปด้วย คนจำนวนมาก ชีวิตไม่ได้เหลือแค่ศูนย์ แต่ยังติดลบ มีหนี้สินจำนวนมาก และไม่รู้จะเริ่มชีวิตใหม่ได้อย่างไร
.....ดิฉันเริ่มลากขาไม่ออก ความกระฉับกระเฉงที่จะเข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้คนพลอยหมดไปด้วย แต่ความรู้สึกสงสารยังคงมีท่วมท้น จุดสุดท้ายที่คุณม.ชวนดิฉันไปดู ก็คือ มุมหนึ่งของอนุสาวรีย์ชัยฯ ร้านก๊วยเตี๋ยวเรือพระนคร ที่ถูกเผาไปจนหมดสิ้น ภาพความหลังเมือ 40 ปีก่อน เมื่อมากินก๊วยเตี๋ยวเรือที่นี่กับเพื่อนๆ นักเรียนปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนั้น แต่ละร้านลอยเรือกันขายก๊วยเตี๋ยวชามเล็กๆ ชามละ 50 สตางค์ รสชาดจัดจ้าน ต้องกินสองสามชามขึ้นไปจึงอิ่ม ยาวนานนักกว่าเขาจะสะสมทุนรอนยกเรือขึ้นเป็นร้าน น่าสะท้อนใจมาก
.....คืนนั้นดิฉันกลับถึงบ้าน สี่ทุ่ม หักเวลาเดินทางออก นับเวลาเดินเท้าสำรวจจริงๆ ประมาณ 6-7 ชั่วโมง กลับมาแล้วก็อดมานั่งดูแผนที่ ดูเส้นทางต่างๆ ที่ผ่านไป และคำนึงถึงเรื่องราวหนักสมองที่ผ่านมาทั้งวันไม่ได้ ใจก็ยังค้างอยู่เรื่องเส้นทางถนนพระรามสี่ จากสามย่านถึงคลองเตย ที่วันนี้ไม่สามารถไปสำรวจได้ ทำให้ต้องเข้าไปนั่งค้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดถนนเหล่านี้ รวมทั้งหาว่า แฟลต 14ชั้นที่น้องที่คนพบในงานวิสาขบูชา อยู่ตรงไหนของลุมพินี-บ่อนไก่ และอ่านโน่นนี่ไปจนถึงเวลาตีห้า ตกใจตนเอง ที่เวลาเหมือนเคลื่อนไปเร็วเหลือเกิน จึงเข้านอนตอนรุ่งสางนี้เอง
- จากแรงบันดาลใจหนึ่ง สู่อีกแรงบันดาลใจหนึ่ง
9 มิถุนายน 2535
.....ตอนสายวันนี้น้องอีกคนโทรมาหาเรื่องธุรการงาน น้องคนนี้ชื่อคุณพ. คุณพ.แวะมาหาที่บ้าน เราออกไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน ดิฉันเล่าเรื่องราวต่างๆ ตามที่ได้เล่ามานี้ให้เธอฟัง เธอเคยอยู่บ่อนไก่มาก่อน และเดี๋ยวนี้ก็ยังมีญาติหลายคนอยู่ที่นั่น ทั้งยังยินดีที่จะพาดิฉันไปสำรวจพื้นที่ส่วนนี้อีกด้วย แต่ดิฉันนึกภาพพื้นที่ไม่ออก เธอจึงเขียนแผนที่แสดงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ดิฉันดู รวมถึงอธิบายความเชื่อมโยงกับพื้นที่ที่คลองเตยด้วย
.....เธอเล่าเรื่องชุมชนแออัดที่อยู่ในระหว่างแฟลตของบ่อนไก่ ชุมชนเหล่านี้นิยมชมชอบเสื้อแดง เปิดพีทีวีดูกันทั้งชุมชนก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นคนในชุมชนเหล่านี้ก็มักไม่นำเอาเรื่องมาก่อความเดือดร้อนภายในชุมชน คนที่มาก่อความเดือดร้อนให้ทึ่นี่มาจากคลองเตยเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเทียบกัน คนชุมชนคลองเตยเกเรมากกว่า และมีถนนซอกซอยที่เชื่อมไปมาถึงกันระหว่างคนชุมชนบ่อนไก่กับชุมชนคลองเตย
.....เราจึงตกลงกันไว้คร่าวๆ แต่ค่อยนัดหมายกันอีกครั้ง เพราะดิฉันอยากนัดพบน้องคนที่พบในงานวิสาขบูชาด้วย อยากเอาหนังสือธรรมะไปให้เธอ อยากไปดูร้านเธอ ไปคุยถึงวิถีชีวิตของเธอและเพื่อนๆ ของเธอที่อาคารสินธรด้วย เพราะเธอก็เคยรับปากไว้เหมือนกัน
10 มิถุนายน 2553
.....วันนี้ดิฉันต้องไปต่อใบขับขี่รถยนต์ เพราะครบ 5 ปี ต้องไปต่อทีหนึ่ง กรมการขนส่งทางบกอยู่ตรงข้ามกับตลาดนัดสวนจตุจักร จึงแวะเข้าไป กะไปหาซื้อรองเท้าที่ใส่สบายสักหน่อย พอไปเดินลุยได้ เพราะยังมีเรื่องต้องไปเดินลุยอีกหลายงาน วันนี้ไปกับเพื่อนชื่อคุณล. คุณล.มีญาติอยู่ใกล้ๆ สามย่าน แถวถนนพระรามสี่ ซึ่งเป็นจุดที่เกือบถูกเผาเหมือนกัน เธอเล่าว่า พวกเสื้อแดงเตรียมมาเผาตึกบริเวณปากซอยญาติเธอ ชาวบ้านก็เตรียมน้ำ เตรียมถังดับเพลิงสกัดไฟ พวกเสื้อแดงจึงยิงขู่ ไม่ให้ชาวบ้านออกจากบ้าน แต่หลังจากนั้น ก็กลับฮือไปเผาธนาคารกรุงเทพฯในละแวกใกล้ๆ กันแทน บ้านญาติเธอจึงรอดมาได้
.....ที่ห้างสรรพสินค้า เจเจมอล์ ใกล้ๆ กับสวนจตุจักร ดิฉันไปเดินหาซื้อรองเท้า คุณล.ไปหยุดซื้อกางเกงจากร้านขายเสื้อผ้าร้านหนึ่ง เป็นเสื้อผ้าแบบไทยๆ พื้นบ้านๆ ใส่สบายๆ เราคุยกับคนขายเรื่องเสื้อแดงเล็กน้อย ดิฉันถามว่าเธอรู้สึกอย่างไร เธอว่า เธอรู้สึกกลัว เพราะจตุจักรก็อยุ่ใกล้ลาดพร้าว ซึ่งเป็นรังใหญ่ของเสื้อแดงรังหนึ่ง เธอกลัวเพราะละแวกนี้ไม่มีทหารคุ้มกัน กลัวจะถูกบุกเผาไปด้วย ซึ่งถ้าถูกเผาก็จะถึงสิ้นเนื้อประดาตัวเหมือนกัน ตอนที่เห็นเขาเผาๆ กัน เธอจึงมาขนสินค้ากลับบ้านเพื่อปลอดภัยไว้ก่อน
.....ความจริงเธอไม่ใช่คนสนใจการเมือง แต่เพราะภัยที่อาจถึงตัว ทำให้เธอต้องสนใจ ซึ่งเมื่อสนใจ เธอก็พยายามติดตามทุกฝ่าย เพราะอยากรู้เช่นกันว่าอะไรเป็นอะไร และทำให้เธอไม่อาจยอมรับการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงได้ เพราะเธอรู้สึกว่า พวกเขาโกหกกันเป็นไฟ และยังชอบสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอีกด้วย พอถึงตอนจ่ายเงิน น้องคนนี้จึงเล่าเรื่องแบงก์ร้อยที่มีตราประทับว่า พระเจ้าตากกลับชาติมาเกิดเป็นทักษิณให้ฟัง เธอว่ามีคนได้รับมาเหมือนกัน ดังนั้น เวลาเรารับเงินทอนให้ระวังด้วย เราต่างจึงต้องเปิดกระเป๋าดูกันเป็นการใหญ่ ว่ามีใครเผลอรับธนบัตรแบบนั้นเข้ามาบ้าง แต่ปรากฏว่าไม่มี
- เปิดใจให้แก่กัน
11 มิถุนายน 2553
.....ดิฉันชวนพี่สาว ไปถ่ายรูปชีวิตผู้คนย่านสยามฯ ราชประสงค์ และอนุสาวรีย์ชัยฯ เราไปถึงที่นั่นกันตอนสายๆ แต่ร้านค้าเต้นท์ขาวที่สยามซอย 4 ยังตั้งร้านไม่เสร็จ เลยไปถ่ายรูปกันแถวโรงหนังสยามที่ถูกไฟไหม้กันก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ภาพที่ได้จะเป็นภาพจากมุมสูง เพราะภาพในเชิงระนาบถูกตีปิดด้วยสังกะสีหมดแล้ว
.....พี่สาวเอากล้องมา 2 อัน อันหนึ่งให้ดิฉันหัดถ่ายไปด้วย ดิฉันพาเธอเดินบนทางเดินเชื่อม ถ่ายรูปจากมุมสูงไปเรื่อยๆ จากสยามไปวัดปทุมวนาราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ จึงรู้ว่า การเดินไปถ่ายรูปไป ก็ใช้เวลาเหมือนกัน ตกลงยังไม่ได้ภาพชุมชนใหญ่น้อยในละแวกนี้ เพราะดิฉันยังเดินหลงไปหลงมาอยู่ และรู้สึกเหนื่อยมาจากหลายวันที่ผ่านมา หลังกินข้าวเที่ยง เราจึงเดินทางกลับ
12 มิถุนายน 2553
.....วันนี้ไปทำธุระหลายๆ อย่างที่ห้างเดอะมอลล์บางกะปิ โดยธุระอย่างหนึ่งก็คือ มาซื้อร่มขนาดเล็กให้พี่สาว ซึ่งต้องรีบซื้อเพราะรู้ว่ามีขายในงานเฉพาะกิจ ที่ห้างเดอะมอลล์ฯ จัดงานเยียวยาร้านค้าที่รับผลกระทบจากการชุมนุมถึงวันอาทิตย์ที่ 13 นี้เท่านั้น ดิฉันไม่ได้เดินคุยหลายร้าน เพราะต้องตรงไปตรงกลับและเดิมยังคิดว่า เป็นเพียงการจัดส่งเสริมการขายแบบอิงกระแส
..... แต่ร้านขายร่มที่ดิฉันมาซื้อนี้ เดิมเป็นร้านที่เคยขายในเซ็นทรัลเวิลด์ และถูกไฟไหม้มาจริงๆ จึงต้องเร่ร่อนเป็นสัมภเวสี ที่ไหนมีงานก็ไปขายที่นั่น เธออาศัยขายราคาถูกได้ เพราะไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ และต้องเร่งขายให้ได้มากๆ เพื่อหารายได้มาเป็นทุนหมุนเวียน พอรู้ว่าเธอเป็นคนที่เดือดร้อนจริง มาจากเซ็นทรัลเวิลด์ จึงถามไถ่ความเป็นมาเป็นไป
.....ปรากฏว่า ร้านของเธอถูกเผาหมด สินค้านำออกมาไม่ได้เลย ที่เห็นวางขายอยู่นี้ เป็นการซื้อสินค้าใหม่มาขายทั้งสิ้น เฉพาะสินค้าในร้านหมดไป 6 แสนกว่าบาท เธอบอกว่าไม่ได้เอาอะไรออกมาเลย เพราะไม่คิดว่าเขาจะเผา ดิฉันถามเธอถึง ความช่วยเหลือที่ได้จากรัฐบาล เธอบอกว่า เธอเพิ่งได้มาหมื่นเดียว ที่บอกจะให้ 5 หมื่นนั้น เพิ่งได้มาแค่นี้เท่านั้น
.....ดิฉันจึงเล่าเรื่องสยามซอย 4 ว่าเขาได้กันคนละ 5 หมื่น เธอว่า อาจจะต่างสถานที่กัน ผ่านมือตัวกลางต่างกัน เธอจึงได้รับแค่นี้ “เขาบอกว่าเอาไปเฉพาะหน้าแค่นี้ก่อน แต่หนูยังไม่ได้ไปตามเรื่องอีกเลย ตอนนี้มีที่ไหนเขาเปิดให้ขาย ก็ต้องรีบมาขายของก่อน ถ้ามัวแต่ไปตามเรื่องเงินช่วย ก็ไม่ได้ขายของ ก็ขาดเงินหมุนเวียนอีก”
..... ดิฉันจึงได้รู้ว่า เรื่องต่างๆ นั้น แต่ละจุด มีรายละเอียดของมัน เราไม่อาจเหมารวมได้เลย และคนที่เดือดร้อนต่างก็กระจายตัวไปหาหนทางเอาชีวิตรอดในที่ต่างๆ ซึ่งบางทีเพียงแต่เราถามไถ่เขา คนเหล่านี้เขาก็อาจมาอยู่ใกล้ๆ จนเราสามารถถามเองได้อยู่แล้ว มันสำคัญที่เรามีใจเปิดที่จะรับฟังเรื่องราวของพวกเขาหรือไม่เท่านั้น
หมายเหตุ
บันทึกนี้เขียนขึ้นคร่าวๆ สัปดาห์หน้าตั้งใจจะไปสำรวจเส้นถนนพระรามสี่ จากสามย่านถึงคลองเตย