การเจริญภาวนาเสมอด้วยธาตุทั้ง 5
ผู้แต่ง: กัญญา พาณิชย์กุล · กัญญา ลีลาลัย · ฤดี เริงชัย
"การเจริญภาวนาเสมอด้วยธาตุทั้ง 5" นี้ดิฉันนำมาจาก
พระไตรปิฎกเล่มที่ 13 พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย
มัชฌิมปัณณาสก์ ภิกขุวรรค มหาราหุโลวาทสูตร
พระสูตรตอนนี้เล่าเรื่องของพระราหุลขณะยังเป็นสามเณร
(ช่วงอายุใกล้อุปสมบท)
ขณะนั้นพระพุทธองค์ประทับ ณ เชตวัน เขตกรุงสาวัตถี
เรื่องเริ่มในตอนเช้าก่อนเสด็จออกบิณฑบาต
พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้พระราหุลพิจารณาขันธ์ 5
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
จากนั้น พระราหุลได้ไปนั่งฝึกสมาธิอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง
ท่านพระสารีบุตรเห็น
จึงแนะนำให้พระราหุลเจริญอานาปานสติภาวนา
ต่อมาในเวลาเย็น พระราหุลเข้าไปทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
จะเจริญอานาปานสติภาวนาอย่างไร จึงจะมีผลมาก
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสตอบโดยแยกเป็น 4 เรื่องใหญ่ๆ คือ
- ให้พิจารณาธาตุ 5 คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ และอากาศธาตุ
ทั้งที่เป็นภายในและที่เป็นภายนอก ให้เห็นว่าเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติ
ไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา - ให้เจริญภาวนาเสมอด้วยธาตุทั้ง 5 นั้น
คือ เจริญภาวนา เพื่อไม่ให้อารมณ์ที่ชอบใจและไม่ชอบใจมาครอบงำจิตได้
เหมือนธาตุทั้ง 5 ไม่รังเกียจของสกปรกที่คนทิ้งลง - ให้เจริญภาวนา 6 อย่าง คือ เมตตาภาวนา
กรุณาภาวนา มุทิตาภาวนา อุเบกขาภาวนา
อสุภสัญญาภาวนา และอนิจจสัญญาภาวนา - ให้เจริญอานาปานสติ 16 ขั้น
แต่เฉพาะในที่นี้ดิฉันจะขอยกเพียง
การเจริญภาวนาเสมอด้วยธาตุทั้ง 5 มาเท่านั้น
ทั้งนี้เพื่อน้อมนำไปสู่คุณธรรมเรื่อง สมานัตตา และเมตตาค่ะ
การเจริญภาวนาเสมอด้วยธาตุทั้ง 5
“ ราหุล เธอจงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยแผ่นดินเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยแผ่นดินอยู่
ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้ คนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลงบนแผ่นดิน แผ่นดินจะอึดอัดระอา หรือรังเกียจของนั้นก็หาไม่ แม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน จงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยแผ่นดิน เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้
เธอจงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยน้ำเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้ คนทั้งหลายล้างของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง น้ำจะอึดอัด ระอา หรือรังเกียจของนั้น ก็หาไม่ แม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน จงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยน้ำ เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้
เธอจงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยไฟเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยไฟอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้ ไฟย่อมเผาของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ไฟจะอึดอัด ระอา หรือรังเกียจของนั้นก็หาไม่ แม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน จงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยไฟ เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยไฟอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้
เธอจงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยลมเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยลมอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้ ลมย่อมพัดของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลมจะอึดอัด ระอา หรือรังเกียจของนั้นก็หาไม่ แม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน จงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยลม เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยลมอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้
เธอจงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยอากาศเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยอากาศอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้ อากาศไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ แม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน จงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยอากาศ เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยอากาศอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้”
ดิฉันเห็นว่า
พุทธวจนะดังกล่าว ทำให้เราเข้าใจอะไรตั้งมากมาย เช่น เข้าใจเรื่อง สมานัตตา คือวางตนเสมอ ไม่ถือเขาถือเรา เพราะเมื่อแท้จริงไม่มีอะไรนอกจากสรรพสิ่งในธรรมชาติที่เคลื่อนไหวไปตามเหตุปัจจัย ธาตุทั้ง 5 ทั้งภายใน(กาย) และภายนอก(กาย) ของสิ่งสมมติว่าเป็นเรา ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกัน แท้จริงจึงไม่มีเรา ไม่มีเขา เมื่อเข้าใจเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยก ไม่จำเป็นต้องมีเรา มีเขา
เมื่อภาวนาเสมอด้วยธาตุทั้ง 5 สมานัตตาจึงเกิดขึ้นได้ เพราะสมานัตตาจะทำได้ก็ต่อเมื่อ หยุดเอาความประสงค์ของตน ความเห็นของตนเป็นใหญ่ก่อน หากเรายังมุ่งแต่จะเอาให้ได้ตามความต้องการของตน ตามความคิดเห็นของตน ความปรารถนาเหล่านั้นก็จะบดบังปัญญา ทำให้มองไม่เห็นว่า จะรุกรานผู้อื่นอย่างไร จะทำลายที่ยืนของผู้อื่นอย่างไร จะสร้างความเจ็บช้ำและส่งผลเสียแก่ผู้อื่นอย่างไร แก่สังคมโดยรวมอย่างไร และจะส่งผลย้อนกลับมาหาตนอย่างไร
พุทธวจนะดังกล่าวยังช่วยให้เราเข้าใจเรื่องความเมตตาต่อกันและกันด้วย ความเมตตาที่แท้จริงหรือความเมตตาที่บริสุทธิ์นั้น ไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่ลัทธิพรรคพวก ไม่ใช่ความเห็นแก่หมู่คณะ ไม่ว่าจะเป็นในหมู่คณะใหญ่ หรือหมู่คณะย่อย
เพราะเมตตาที่แท้จริง ไม่ได้ตั้งอยู่บนอำนาจของตัณหา แต่ตั้งอยู่ด้วยอำนาจของปัญญา ปัญญาในที่นี้คือการรู้ว่า ชีวิตทุกรูปนามนั้น เป็นของอันเดียวกัน หรือมีชีวิตเดียวกัน มีความรู้สึกแท้ๆ ล้วนๆ ของชีวิตเป็นแบบเดียวกัน เช่นเดียวกันกับที่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และธาตุอากาศ ที่เป็นแบบเดียวกัน ไม่ว่าอยู่ภายในกาย หรืออยู่นอกกาย
หากมีความเข้าใจในเรื่องนี้ ในสิ่งนี้ แม้เพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกเมตตาชนิดที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงย่อมตามมาเอง ความเมตตาชนิดนี้ กว้างใหญ่ไพศาลมาก แผ่ไปทั้งชีวาลัยเลยทีเดียว นี่คือความเป็นจริงสากล
ทำไมการเข้าถึงความเป็นจริง จึงต้องละอัตตาตัวตนทั้งหมด เพราะเมตตาบริสุทธิ์นั้นกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน ผู้ที่ยังมีตัวตน ยังมีความอยากในอกุศลและกุศลอยู่ จึงไม่อาจบรรลุความหลุดพ้นได้ เพราะไม่อาจก้าวข้ามความความรู้สึกติดยึดชนิดต่างๆ ไปสู่ความเมตตาอันเป็นอนันต์ได้
ใครก็ตาม เก่งกล้าสามารถแค่ไหนก็ตาม หากยังไม่สามารถทลายกำแพงแห่งอัตตาตัวตน ยังไม่สามารถละวางความยึดติดในตัวตน ยังคงถือเขาถือเราอยู่ จะไม่มีวันก้าวข้ามไหว ไม่มีทางก้าวข้ามได้ เพราะเมตตาชนิดนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก
ดิฉันคิดว่า ในสังคหะวัตถุ 4 มี ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา นั้น
สมานัตตา คือ การวางตนเสมอ ไม่ถือเราถือเขานั้นปฏิบัติยากที่สุด เป็นธรรมที่จิตใจต้องสูงมาก กว้างมาก จึงจะทำได้ ซึ่งการภาวนาจะช่วยในข้อนี้ได้ และการวางตนเสมอนี้เองที่จะนำมาซึ่งเมตตาบริสุทธิ์อันกว้างใหญ่ไพศาลให้งอกงามขึ้นในจิตใจของเรา
ดิฉันเห็นว่า ถ้าใจกว้างใหญ่แล้ว ย่อมบรรจุได้ทั้งจักรวาล ถ้าใจลีบเล็กแล้ว บางทีแม้เข็มเล่มเดียวก็อาจอยู่ไม่ได้ ขอเราจงมีความสุขสวัสดีทั่วกันนะคะ
ขอจงมีสังคหะวัตถุธรรม และเมตตาต่อกันให้มากๆ ค่ะ
Posted on BlogGang : 28 กรกฎาคม 2552