คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย
ผู้แต่ง: กัญญา พาณิชย์กุล · กัญญา ลีลาลัย · ฤดี เริงชัย
ภาษาอื่น / Other language: English · ไทย
เรื่อง "เดินสู่ความเข้าใจ" ในตอนนี้ เป็นตอนที่ดิฉันกับเพื่อนรุ่นน้อง 2 คนไปลงพื้นที่บ่อนไก่กัน แบ่งเป็น 15 ตอนย่อย ซึ่งดิฉันเขียนไว้ในส่วนของ comment เพราะยังคิดลงพื้นที่อีกหลายครั้ง จะได้แบ่งหัวข้อเป็นเรื่องๆ เป็นคราวๆ ไป สำหรับในตอนนี้ ประกอบด้วย 15 ตอนย่อยค่ะ
- มากกว่าที่นึก ลึกกว่าที่คิด
- เรื่องเล่าจากชาวบ้าน
- พบคนหลังวัดปทุมฯ ที่คุ้นเคยกับวังเพชรบูรณ์
- ก่อนจะมาเป็นเซ็นทรัลเวิลด์
- เรื่องเล่าของหม่อมถนัดศรี
- จากวังเพชรบูรณ์ สู่ เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
- จากเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ สู่ เซ็นทรัลเวิลด์
- ภัตตาคารจันทร์เพ็ญ ดังดอกไม้กลางไฟฟอน
- ความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของบ่อนไก่
- ชาวบ่อนไก่ก็รักในหลวงนะ
- คุยกับคนเก่าแก่ของบ่อนไก่
- จากพื้นราบสู่แฟลตสูง ชุมชนที่ยังดำรงไว้ได้
- จุดที่ยอมกันไม่ได้
- เรื่องเล่าชาวแฟลตสาม
- ยังมีความจริงอีกหลายส่วนที่รออยู่
วันที่ 25 มิถุนายน 2553
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 1)
มากกว่าที่นึก ลึกกว่าที่คิด
......วันนี้คุณพ.มารับดิฉันไปลงพื้นที่บ่อนไก่ด้วยกัน โดยมีคุณศ.นัดว่าจะไปรอพบเราที่หน้าชุมชนบ่อนไก่ คุณพ.เกิดและอาศัยอยู่ที่บ่อนไก่มายาวนาน ก่อนที่ครอบครัวของเธอจะย้ายมาอยู่ที่พระโขนง แต่ก็ยังมีญาติอีกหลายคนซึ่งยังตั้งรกรากอยู่ที่บ่อนไก่นั้น
......เราลงทางด่วนเอกมัย-รามอินทราที่ซอยสุขุมวิท 50 แล้วขับรถมาทางพระโขนงเพื่อเข้าถนนพระราม 4 เดิมดิฉันคิดว่า อยากเดินเท้าจากสามย่านไปจนถึงคลองเตย สอบถามพูดคุยกับผู้คนไปเรื่อยๆ แต่ก็ได้บอกคุณพ.ว่า เราไม่ได้ไปเพื่อเดิน แต่ไปเพื่อเปิดใจรับฟังผู้คน เพื่อความเข้าใจของเราเอง และเพื่อจะได้คลี่เหตุการณ์ต่างๆ ออกมาโดยหวังเป็นส่วนหนึ่งของการสมานรอยร้าวระหว่างผู้คนได้บ้าง
......เพราะเราไม่ใช่คนฝ่ายใดสีใด เราเป็นเพียงคนเล็กคนน้อยที่มีใจเป็นอิสระ และห่วงใยต่อเพื่อนมนุษย์เท่านั้น ซึ่งเราอาจเริ่มจากการสำรวจพื้นที่กว้างๆ ก่อนเพื่อให้เห็นภาพรวมก็ได้ เพื่อที่เมื่อเราลงไปคุยกับผู้คนในแต่ละจุดที่อยู่ในภาพย่อย เราจะได้เข้าใจพวกเขามากขึ้น
......คุณพ.ได้เริ่มเล่าเรื่องพื้นที่กว้างๆ ให้ดิฉันฟัง เธอบอกว่าบนถนนสุขุมวิทนี้ ทางขวามือนับตั้งแต่สุขุมวิท 71 (ซอยปรีดี พนมยงค์) ไปจนซอยนานา เป็นที่ดินละแวกผู้ดีเก่า ราชนิกูล ขุนนาง ข้าราชการ ปัจจุบันจึงกลายเป็นย่านที่อยู่อาศัยราคาแพง เป็นคอนโดหรูของชาวต่างประเทศจำนวนมาก ฝั่งซ้ายมือของถนนสุขุมวิทไปจนจรดถนนพระรามที่ 4 เดิมมักเป็นที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไล่ลงไปจนถึงหัวลำโพง เธอบอกว่า ให้เช็คข้อมูลพวกนี้อีกที เพราะเป็นข้อมูลที่เธอรู้มาจากพ่อ ซึ่งพ่อเธอก็เสียชีวิตไปแล้ว
......เมื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนนพระรามที่ 4 ฝั่งขวามือเป็นพื้นที่ซึ่งไปจรดถนนสุขุมวิท ฝั่งซ้ายมือเป็นพื้นที่ซึ่งไปจรดถนนทางรถไฟสายเก่า เธอบอกดิฉันว่า “หนูจะพาพี่ไปเส้นพระรามสี่ก่อน ไปจนถึงช่อง 3 ที่ถูกเสื้อแดงเผา แล้วค่อยเข้าทางรถไฟสายเก่า เพราะสมัยก่อนเส้นทางรถไฟสายเก่าเป็นเส้นย่านการค้าเก่าแก่ แต่พอถนนพระราม 4 ขยาย การค้าก็ซบเซา พอผ่านหน้าช่อง 3 ดิฉันก็อุทานว่า “อ๋อ..เข้าใจแล้ว เขาเผากันตรงไหน” เมื่อนึกเทียบกับคลิปที่หาดูได้ทางอินเตอร์เน็ต
......พอคุณพ.เลี้ยวเข้าถนนทางรถไฟสายเก่า ก็ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนอดีต บ้านเรือนแถวไม้เก่าๆ ยังมีอยู่มาก แม้จะมีบางส่วนปรับปรุงเป็นตึกแถวไปบ้างแล้ว คุณพ.เล่าว่า เขตคลองเตยเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยชุมชนแออัด แต่ก็เป็นทำเลทองด้วยในเวลาเดียวกัน
......ดิฉันนึกถึง ความขัดแย้งในตลาดคลองเตยที่ถึงเลือดถึงเนื้อในปี 2551 ผู้ค้าในตลาดที่ต่อต้านสัญญาไม่เป็นธรรมตายไป 2 คนและบาดเจ็บร้อยกว่าคน และยังไม่รู้จะจบอย่างไร เพราะเป็นการสมประโยชน์ระหว่างการท่าเรือฯ คนมีสี และมีอิทธิพลของนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่คุณพ.บอกว่า ผลประโยชน์ใหญ่ยังมากกว่านั้น คือ เป็นเรื่องพื้นที่นับพันๆ ไร่ของการท่าเรือ ซึ่งมีการเตรียมทำโครงการใหญ่ตั้งแต่สมัยทักษิณยังเป็นนายกฯ ดิฉันจึงบอกเธอว่า “ไปพบคุณศ.ก่อน แล้วรับเธอมาตระเวนพื้นที่รวมๆ ด้วยกันจะดีกว่า แล้วค่อยลงไปคุยกับคนในพื้นที่อีกที เพราะเธอรอเราอยู่”
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 2)
เรื่องเล่าจากชาวบ้าน
.....คุณศ.คงรอเราอยู่นานพอสมควร เพราะเธอหยุดทานข้าวขาหมูจนอิ่มแล้ว จึงมารอเราอยู่ที่หน้าธนาคารไทยพาณิชย์ เนื่องจากคุณพ.อาศัยอยู่ที่นี่มานาน เธอจึงรู้จักมักคุ้นกับร้านค้าในละแวกนี้เป็นอย่างดี เราขับรถเลยคุณศ.ไป เพื่อเอารถเข้าไปจอดในแฟลต ระหว่างทางเดินออกมาเธอหยุดไหว้ชายชราคนหนึ่ง ดิฉันจึงไหว้ตาม เธอบอกว่า นี่คือช่างตัดผมที่ตัดประจำให้พ่อของเธอ เมื่อพ่อเธอเสียชีวิตแล้ว เธอจึงมาตัดผมกับคุณลุงคนนี้ตามรอยพ่อ ดิฉันถามเธอว่า “เดี๋ยวเรามาคุยกับอาแปะคนนี้ได้ไหม” เธอว่า “ได้ พี่จะคุยกับใครแถวนี้ ก็ได้ทั้งนั้น ส่วนใหญ่หนูรู้จัก”
......เมื่อเราไปพบคุณศ.ซึ่งนั่งรอเราอยู่หน้าธนาคารไทยพาณิชย์ ดิฉันจึงชวนทั้งคุณศ.และคุณพ.ไปร้านข้าวขาหมูริมถนนนั้น เพราะนึกอยากกินตั้งแต่คุยโทรศัพท์กับคุณศ.เธอแล้ว พร้อมทั้งเล่าแผนการเดินทางให้เธอฟัง ว่าดิฉันอยากให้เธอเห็นภาพรวมก่อน ดิฉันว่าน่าสนใจดี ร้านข้าวขาหมูที่เราไปนั่งทานอาหาร ขายราดหน้าด้วย ตอนแรกเราคิดว่าจะรีบกินรีบไป แต่เนื่องจากคุณพ.รู้จักกับเจ้าของร้าน และหน้าร้านก็เป็นจุดปะทะระหว่างเสื้อแดงกับทหารด้วย คุณพ.จึงถามไถ่ความเป็นมาเป็นไป
......อาซ้อเจ้าของร้าน นั่งลงแล้วคุยยาวกับพวกเรา เธอเล่าว่า คนเสื้อแดงเริ่มมาปิดถนนสายนี้ ตั้งแต่ตี 2 ของคืนวันที่ 13 โดยการเอารถแท็กซี่มาจอดปิดถนน และขนยางรถยนต์มากอง เธอไม่สบายใจนัก แต่ข้าวของซื้อไว้หมดแล้ว เตรียมไว้แล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องขาย จึงเปิดร้านตามปกติ เหตุการณ์ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคนเสื้อแดงออกไปยั่วยุทหาร ไปเต้นกลางถนน ไปร้องด่า เอาขวดระเบิดเพลิงปาไป จุดตะไลยิงใส่ทหาร ชาวบ้านพยายามออกไปขอร้องให้ไปทะเลาะกันที่อื่น
......แต่คนเสื้อแดงอ้างว่า พวกเขาเข้าพื้นที่ไม่ได้ ทหารไล่เขามา เขาจึงต้องมาขับไล่ทหารออกไปจากจุดนี้ ต่อมาทหารก็เริ่มยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ ฝ่ายเสื้อแดงก็ยิงไป ทหารก็ยิงมา ไม่รู้ใครยิงใครด้วยอะไร เสียงดังมาก และทรัพย์สินของร้านเริ่มเสียหาย ตู้แตก อาซ้อจึงรีบปิดร้าน แล้วแอบดูเหตุการณ์ทางช่องประตูเหล็กแทน ตกลงอาหารที่เตรียมไว้ทั้งหมดในวันนั้น แทบขายไม่ได้เลย เพราะเหตุการณ์วุ่นวายและตอนเที่ยงก็ต้องปิดร้านเสียแล้ว
......คนเสื้อแดงได้เผายางควันเข้ามาในร้านเต็มไปหมด เธอแอบดูเห็นพวกเขาติดต่อกันผ่านวิทยุสื่อสาร ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือ และเหตุการณ์ก็ไม่มีทีท่าจะสงบลงแต่อย่างใด ทั้งยังดูจะรุนแรงขึ้นตามลำดับด้วย เธอเฝ้าดูความเป็นไปด้วยความระทึกขวัญ เธอเห็นกลุ่มคนเสื้อแดงวิทยุติดต่อกับพรรคพวก ประสานงานกัน เธอรู้สึกกลัวมาก
......เธอและครอบครัวจึงเก็บของที่จำเป็นจริงๆ เพื่อที่จะหาช่องทางที่จะอพยพไปอยู่ที่อื่นก่อน อย่างน้อยก็สักช่วงเวลาหนึ่ง มันเป็นภาวะอกสั่นขวัญแขวนอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน หลังจากนั้นก็ไปอยู่ที่อื่นจนการชุมนุมยุติ ซึ่งเธอก็ยังโชคดีที่ร้านไม่ได้ถูกเผา แต่ถึงกระนั้นก็ต้องทำความสะอาดอยู่หลายวัน เพราะควันจากยางรถยนต์ที่เผาเข้ามาจับพื้นผิวต่างๆ ในร้านเต็มไปหมด และทำความสะอาดยากมาก
......เราถามเธอถึงเรื่องที่มีการร่วมกันทำความสะอาดครั้งใหญ่ ว่าชาวบ้านได้ออกไปร่วมกันทำไหม เธอตอบว่า ที่แถวนี้มันหนักมาก กทม.ต้องเอาสารเคมีมาฉีด ต้องเอายางมาเทถนนใหม่ ความเสียหายของพื้นถนนเกินกว่าที่จะขัดล้าง ส่วนชาวบ้าน ต่างคนต่างก็ต้องขัดล้าง บ้านใครบ้านมัน
......ระหว่างที่เรากำลังคุยกันนั้น ลูกค้าคนหนึ่ง คุณผู้ชายโต๊ะข้างๆ อายุระหว่าง 55-60 ปีดูจะสนใจการสนทนาของโต๊ะเรามาก ดิฉันจึงส่งยิ้มให้ บอกพร้อมผายมือไปทางอาซ้อ “สงสัยอะไรก็ถามได้นะคะ นี่คือผู้ถูกผลกระทบตัวจริงอีกคนค่ะ” เขาจึงหันมาร่วมวงสนทนากับเราด้วย โดยบอกกล่าวว่า “ผมสนใจเพราะบ้านผมอยู่หลังวัดปทุมวนาราม คนรู้จักของผมคนหนึ่งเป็นหน่วยกู้ภัยก็เสียชีวิตที่วัดปทุมด้วย ผมว่าเย็นๆ นี้จะเข้าไปที่นั่นสักหน่อย ไปดูว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร”
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 3)
พบคนหลังวัดปทุมฯ ที่คุ้นเคยกับวังเพชรบูรณ์มากๆ
......พวกเราหูผึ่งขึ้นมาทั้งโต๊ะทันที “อยู่หลังวัดปทุมเลยหรือคะ”
“ใช่ครับ แต่ตอนนี้ไม่ได้อยู่แล้ว เพราะที่นั่นเขาเวนคืนไปเมื่อสามเดือนก่อนแล้ว”
“เวนคืนหมดเลยหรือคะแถวชุมชนหลังวัดปทุม”
“ครับ ปูนซิเมนต์ไทย เขาจะใช้ที่”
“ก็ต้องหาที่อยู่ใหม่สิคะ”
“ผมมีแฟลตแถวนั้นอยู่แล้ว แต่ที่หลังวัดปทุมผมมีบ้านเช่า 100 กว่าหลัง”
พวกเราอึ้งกันไปครู่หนึ่ง “นี่เรากำลังคุยอยู่กับมหาเศรษฐีหรือเปล่าคะนี่ แสดงว่าได้ค่าเวนคืนมหาศาลสิคะ”
“ได้หลังละแสนครับ”
......คุณศ.ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “ทำไมเขาให้น้อยจัง ที่ใจกลางเมืองขนาดนี้คนอยู่เดิมแทบไม่ได้อะไร”
“ก็ไม่น้อยนะครับ ได้มาสิบกว่าล้าน”
......จากการสนทนาต่อไป เราจึงได้รู้ว่า ที่ว่าเป็นบ้านเช่านั้น ก็คือบ้านเช่าแบบเล็กๆ ง่ายๆ พื้นที่ประมาณ 3x3 เมตร หรือ 3x4 เมตรเท่านั้น คุณผู้ชายคนนี้ถือกรรมสิทธิ์เช่าที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่แปลงหนึ่ง จึงนำมาปลูกเป็นบ้านให้เช่า มีสองชั้น ตั้งแต่เกือบสามสิบปีก่อน บ้านสร้างช่วงแรกๆ ใช้ฝาเป็นไม้ ต่อมาไม้ขาดแคลนก็ใช้ฝ้าเป็นฝาแทน ให้เช่าในอัตราเดือนละพันกว่าบาท ในพื้นที่ตาบอด มีเพียงทางเดินแคบๆ ระหว่างบ้านแต่ละหลังเท่านั้น ส่วนค่าเวนคืนนั้นได้ต่อห้อง บ้าน 1 หลังมี 2 ชั้น จึงได้ 2 แสน และ 100 กว่าหลังที่ว่า ก็คือ 100 กว่าห้อง หรือ 50 กว่าหลังนั่นเอง
......“อยู่หลังวัดปทุม ใกล้ชิดเหตุการณ์ พอเล่าอะไรได้บ้างไหมคะ” ดิฉันถามต่อ
“ผมไม่รู้อะไรหรอก เพราะตอนเกิดเรื่องผมอยู่ต่างจังหวัด นี่ผมเพิ่งกลับมา ก็ว่าเย็นนี้จะเข้าไปดูสักหน่อย”
“หลังวัดปทุมฯ มีคนอยู่มากไหมคะ”
“ตอนนี้ไม่มากแล้วครับ ส่วนใหญ่ย้ายออกไปกันแล้ว เพราะเวนคืนมา 3 เดือนแล้ว”
......“เส้นคลองแสนแสบนี้ หนูนั่งเรือประจำเลยค่ะ ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ บ้านที่ยื่นออกมากลางน้ำมีไทรโศกอยู่ ยังอยู่ไหมคะ เป็นของวังเพชรบูรณ์หรือเปล่าคะ” คุณพ.ถามขึ้นเพราะเห็นเขาเป็นคนในพื้นที่ใกล้เคียง และเป็นคำถามที่ทำให้เรื่องราวอีกมากมายได้ออกจากปากคุณผู้ชายคนนี้
“ไม่ใช่ของวังเพชรบูรณ์หรอกครับ วังเพชรบูรณ์ไม่มีที่สร้างยื่นลงไปในน้ำ ผมรู้จักวังเพชรบูรณ์ดี เพราะผมนี่แหละที่เป็นคนไปปรับที่ดินตอนสมัยรื้อวังเพชรบูรณ์เอาไปสร้างเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ สมัยก่อนยังไม่เป็นเซ็นทรัลเวิลด์นะครับ สร้างเป็นเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ก่อน ตอนหลังจึงมาเป็นเซ็นทรัลเวิลด์”
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 4)
ก่อนจะมาเป็นเซ็นทรัลเวิลด์
......คุยกันไป เราจึงได้รู้ว่าคุณผู้ชายคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในปีพ.ศ. 2525 เขาได้รับมอบหมายให้เป็นคนเจรจากับชาวชุมชนแออัดหลังวังให้ออกจากพื้นที่ โดยจ่ายค่าทดแทนให้รายละ 7 หมื่นบาท
......หลังจากนั้นก็เลยตกหน้าเสื่อต้องรับหน้าที่ปรับพื้นที่ให้กลุ่มเตชะไพบูลย์ซึ่งเข้ามาขอเช่าพื้นที่วังเพชรบูรณ์เพื่อทำโครงการเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ดูเหมือนความในใจของคุณผู้ชายคนนี้จะเป็นเรื่องของการปรับพื้นที่วังเพชรบูรณ์มาเป็นศูนย์การค้านี่เอง เพราะแม้ภรรยาและบุตรสาวจะเร่งรัดด้วยมีภาระกิจอื่นรออยู่ข้างหน้า แต่เขาก็ยังอยากเล่าเรื่องราวของการปรับพื้นที่บริเวณนี้ให้พวกเราฟังก่อน
......“การให้คนออกจากพื้นที่ไม่ยาก สมัยนั้น 7 หมื่นบาท ทำอะไรได้เยอะ หาที่อยู่ใหม่ได้ แต่ที่ดินปรับยาก เพราะเป็นสระเก่าใหญ่มาก และมีภูเขาดินที่ภายในภูเขา มีเสาและศาลอยู่ เกรดดินไปจะไปเจอเสาพุ่งโผล่ออกมา หรือไม่ก็เจอชิ้นส่วนไม้อยู่ข้างในภูเขาดินอีกที
......ส่วนของสระเก่าตื้นเขินไปเป็นส่วนมาก มีหญ้าทับถมอยู่ แต่พอขุดเข้าไปแต่ละที มีแต่งูอยู่กันเต็มไปหมด ไม่ได้อยู่กันเป็นร้อยเป็นพันนะครับ อยู่กันเป็นหมื่นเป็นแสนตัว” พวกเราคงทำหน้าอัศจรรย์ใจ เขาจึงอธิบายต่อว่า “นึกออกไหมว่า ก้นสระจะมีหญ้าทับถมชุ่มน้ำอยู่ พอเหนือขึ้นมาอีกหน่อยหญ้าที่ทับถมก็แค่พอชื้นๆ ตรงข้างบนจะแห้ง งูมันอยู่ได้เพราะอย่างนี้ แล้วไม่ใช่ชนิดเดียวนะครับ สารพัดชนิดเลย งูเขียวหางไหม้ก็ลำตัวขนาดหัวแม่โป้งผมนี่” เขายื่นมือให้เราดู
......“พวกงูเหลือมก็มี ตัวขนาดต้นขาผมนี่แหละ บางทีไปเจอแอ่งแห้งๆ อะไรสักอย่าง ผมก็มานั่งนึกว่ามันเคยเป็นบ่ออะไร ที่ไหนได้ พอเจองูเหลือมก็นั่นแหละใช่เลย มันเคยขดอยู่ในแอ่งโคลน พอโคลนแห้งเลยกลายเป็นบ่อ ขนาดนี้เลยนะครับ” เขากางมือให้ดู ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกชวนขนลุกไปด้วย
......“ตอนนั้นมันชวนขนลุกขนพอง แต่มันเป็นงานก็ต้องทำ ก็ต้องเอารถแม็คโครขุดกันไปเรื่อยๆ นอกจากงูสัตว์อื่นๆ ก็มี แต่งูน่ะมากที่สุด อีกเรื่องก็เรื่องเกรดภูเขาดินนี่แหละ พอไปเจอเสาเจอศาลอะไรต่างๆ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แค่จุดธูปขอขมาลาโทษ แล้ววันรุ่งขึ้นก็ขุดต่อเกรดดินกันต่อ”
......ภรรยาของเขาเริ่มสะกิด แต่เขายังขอเล่าต่ออีกหน่อย “คุณเชื่อไหม เราเกรดไป แต่พวกสัตว์ต่างๆ ก็ยังคงทยอยกันมุดดินขึ้นมา จนบางทีเกรดจนเรียบแล้ว ผิวดินแห้งเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว หน้าดินก็ยังแตกออก แล้วตัวเงินตัวทองขนาดใหญ่ก็ยังมุดจากรอยแตกนั้นขึ้นมา แต่ถูกพวกคนงานจับเอาไปกินกันหมด”
......เขายังคงทำท่าอยากบอกเล่าต่อไป แต่ภรรยาของเขาสะกิดว่า “ไปกันเถอะ เดี๋ยวติดเที่ยง จะไม่ทัน” เราจึงร่ำลากันแต่เพียงนั้น ท่ามกลางความเสียดายของพวกเราทั้งสามคน ซึ่งหันมาคุยกันว่า นี่ถ้าหากพอรู้จักกันบ้าง และไม่เกรงใจภรรยากับลูกสาวของเขา เราคงขอตามไปลงพื้นที่ที่หลังวัดปทุมวนารามกันบ้าง
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 5)
เรื่องเล่าของหม่อมถนัดศรี
......เมื่อฟังคุณผู้ชายคนนี้เล่าแล้ว ทำให้ดิฉันนึกถึงที่หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ ซึ่งประกาศว่าตนเป็น “คนที่เกิดในวังเพชรบูรณ์ แต่ไปโตที่วังสระปทุม และมีลูกมีเมียที่วังสุโขทัย” ซึ่งเล่าเรื่องราวคล้ายกันนี้แต่เป็นคนละมุมกัน โดยเล่าว่า วังเพชรบูรณ์นั้น เดิมมี “กุฏ” ที่นั่งสมาธิของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งต่อมา “กุฏ” นี้ได้กลายเป็นศาลพระภูมิเจ้าที่ปกปักรักษาวังเพชรบูรณ์
......หม่อมถนัดศรีเล่าว่า เรื่องคำสาปแช่งของเจ้าของวังเป็นเรื่องไม่จริง นั่นเป็นแต่เพียงตำนานที่เล่าลือกันเท่านั้น และถ้าหากอาถรรพ์จะมีจริง หม่อมถนัดศรีก็เห็นว่า อาถรรพ์หรืออาเพศนั้นเกิดจากการปรับพื้นที่รื้อถอนทำลายศาลพระภูมิเจ้าที่ของวังเพชรบูรณ์ ไม่ใช่เกิดจากอะไรอย่างอื่น
......เรื่องที่หม่อมราชวงศ์ถนัดศรีเล่านี้ ดิฉันอ่านจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ (เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553) หม่อมถนัดศรี เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระองค์เจ้าหญิงสุทธสิริโสภา พระธิดาในสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย เจ้าของวังเพชรบูรณ์ นอกจากเป็นญาติยังเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์และจัดการมรดกให้พระองค์เจ้าหญิงสุทธสิริโสภาอีกด้วย จึงเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้
......หม่อมถนัดศรีเล่าว่า ในช่วงที่ก่อสร้างห้างเวิลด์เทรดฯ ได้ทักท้วงและห้ามปรามนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ แต่ไม่รับฟัง นอกจากไปนำเอาพระตรีมูรติมาตั้งหน้าห้างเพื่อข่มพลังหรือแก้เคล็ดที่ได้ทำลาย “กุฏ” หรือสถานที่นั่งสมาธิของรัชกาลที่ 4 ซึ่งคุณชายถนัดศรีเห็นว่า เรื่องอาเพศไม่เกี่ยวกับเทพเจ้าองค์ใดๆ ทั้งนั้น แต่เกิดจากความประมาทของคนและไม่เคารพนับถือพระมหากษัตริย์
“ผมขอให้ทุกคนได้ศึกษาประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง ไม่ใช่เชื่อในสิ่งที่เล่ากันต่อมา”
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 6)
จากวังเพชรบูรณ์ สู่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
......คำบอกเล่าของหม่อมถนัดศรี ทำให้ดิฉันนึกถึงครั้งยังเด็ก ละแวกนี้น่าสนใจมากเพราะสมัยเกือบสี่สิบปีก่อน มีห้างหรูที่มีบันไดเลื่อนชื่อ “ไทยไดมารู” เกิดขึ้น ตอนนั้นดิฉันกับเพื่อนยังเป็นนักเรียนมัธยม เรามักมาที่นี่เพื่อขึ้นๆ ลงๆ บันไดเลื่อนกันเป็นที่สนุกสนาน ส่วนบริเวณที่เป็นเซ็นทรัลเวิลด์ที่ถูกเผาไป
......ดิฉันไม่เคยรู้ว่าเป็นวัง แต่รู้ว่าเป็นโรงเรียนการช่างอินทราชัย ซึ่งเด็กที่นี่ก็เหมือนเด็กช่างกลทั่วๆ ไป ที่ชอบประลองกำลังกันดุเดือดเลือดพล่าน คำให้สัมภาษณ์ของคุณชายถนัดศรี จึงทำให้ดิฉันลองไปค้นต่อดูอีกเล็กน้อย เพื่อหาที่มาของวังเพชรบูรณ์
......จึงพบว่า แท้จริงที่นี่เดิมเป็นพระราชวังปทุมวัน ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ไว้เป็นสถานที่พักผ่อน สร้างขึ้นพร้อมกันกับวังสระปทุมและวัดปทุมคงคง ตัวพระราชวังปทุมวันมีขนาดใหญ่มาก เพราะต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นโรงทหาร ต่อมาโรงทหารนั้นได้กลายเป็นพื้นที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน
......รัชกาลที่ 6 ทรงยกพระราชวังปทุมวันให้เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก หลังจากที่พระองค์เรียนจบกลับจากต่างประเทศ จากพระราชวังปทุมวัน จึงกลายเป็นวังเพชรบูรณ์ ตามกรมที่เจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ ทรงอยู่ คือ กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย แต่เจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ สิ้นพระชนม์ลงใน พ.ศ. 2466 ด้วยพระชนมายุเพียง 31 ชันษา
......วังเพชรบูรณ์จึงเหลือเพียงเป็นที่ประทับของหม่อมเจ้าบุญจิราธร จุฑาธุช พระชายาเจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ จนท่านสิ้นชีพตักษัยเมื่อปี พ.ศ. 2523 เจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ เป็นน้องร่วมพระมารดากับรัชกาลที่ 6 ซึ่งทรงยกพระราชวังปทุมวันให้พระน้องยาเธอพระองค์นี้
......แต่เนื่องจากรัชกาลที่ 6 ไม่ได้มีการออกโฉนดโอนกรรมสิทธิ์ให้ วังเพชรบูรณ์จึงยังอยู่ในพระปรมาภิไธยของรัชกาลที่ 6 ทำให้หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 วังเพชรบูรณ์จึงถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพียงแต่ยังไม่มีการดำเนินอย่างอื่น จวบจนหม่อมเจ้าบุญจิราธรสิ้นชีพตักษัยแล้ว สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จึงโอนเงินค่าตอบแทนไปยังทายาททั้งสอง คือ พระองค์เจ้าหญิงสุทธสิริโสภา (อดีตผู้จัดการ ร.ร. ราชินี สมรสกับหม่อมเจ้าสุวินิต กิตติยากร) และพระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช (อดีตนักบินอังกฤษ และเสรีไทย เคยสมรสกับสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา) และตกลงให้กลุ่มเตชะไพบูลย์เช่าทำประโยชน์ต่อไป
......เมื่อบริษัทวังเพชรบูรณ์ ของกลุ่มเตชะไพบูลย์ได้ขอเช่าพื้นที่นี้จากสำนักงานทรัพย์สินฯ ดำเนินโครงการเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ บนพื้นที่ 75 ไร่ของวังเพชรบูรณ์ ซึ่งรวมถึงพื้นที่ 4 ไร่ 2 งานของโรงเรียนการช่างอินทราชัยด้วย จึงต้องย้ายตำหนักต่างๆ ในวังเพชรบูรณ์ไปไว้ตำหนักของพระองค์เจ้าสุทธสิริโสภาบ้าง ไว้ที่วังเลอดิสบ้าง ส่วนโรงเรียนการช่างอินทราชัย ได้แยกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งย้ายไปดอนเมือง กลายเป็นวิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง อีกส่วนหนึ่งย้ายไปอยู่รามคำแหง กลายเป็นวิทยาลัยอินทราชัย สอนด้านพาณิชยกรรม
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 7)
จากเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ สู่ เซ็นทรัลเวิลด์
......เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2526 และเปิดดำเนินการเมื่อ พ.ศ. 2532 ประกอบด้วยห้างสรรพสินค้าเซน (ZEN) และอิเซตัน (ISETAN) แต่ตามสัญญาเช่ากับบริษัทสำนักงานทรัพย์สินฯ บริษัทวังเพชรบูรณ์จะต้องสร้างทั้งศูนย์การค้าและโรงแรม ด้วยสัญญาเช่า 30 ปีหลังสร้างเสร็จ โดยจะต่ออายุครั้งละ 10 ปีได้ 2 ครั้ง แต่บริษัทวังเพชรบูรณ์ยังไม่สามารถสร้างได้แล้วเสร็จ
......วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ยังทำให้ธนาคารศรีนครถูกควบรวมกับธนาคารมหานคร เหลือเพียงเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่เป็นธุรกิจหลักของตระกูล แต่ภาวะล้มละลายได้ทำให้กลุ่มธุรกิจตระกูลนี้ต้องค้างจ่ายภาษีโรงเรือนแก่กรุงเทพมหานคร จากปี พ.ศ. 2535-2543 ซึ่งตามสัญญา ผู้เช่าต้องเป็นฝ่ายเสียภาษี เมื่อผิดสัญญา
......สำนักงานทรัพย์สินฯ จึงบอกเลิกสัญญา จึงได้มีการฟ้องร้องและในที่สุดก็มีการประนีประนอมกันได้ โดยการเปิดประมูลและปรับโครงสร้างจากเดิมด้วยวิธีการเปลี่ยนถ่ายสัญญาไปเป็นกลุ่มเซ็นทรัลและเดอะมอลล์ ภายในนามบริษัท เซ็นทรัลพัฒนาจำกัด (CPN) ที่เข้ามาพัฒนาโครงการแทนในปี พ.ศ. 2547
......ศูนย์การค้าเปลี่ยนชื่อเป็น “เซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า” มีการสร้างส่วนที่เหลือจนเสร็จ สร้างสกายวอล์ก (Skywalk) ทางเชื่อมลอยฟ้าระหว่างสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีชิดลม และสถานีสยาม ปรับปรุงพื้นที่โดยรอบ และเปิดดำเนินการใหม่ในปี พ.ศ. 2550 การต่อเติมโครงสร้างที่เหลือ จนกลายเป็นห้างสรรพค้าที่ใหญ่ที่สุดในไทย และเป็นอันดับที่ 2 ของเอเชีย ยังทำโดยคำนึงถึงความงดงามทางสถาปัตยกรรมและอื่นๆ อีกด้วย
......ทำให้ในคืนเดียวกับที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ถูกเผา ได้เป็นคืนเดียวกับที่ศูนย์การค้าแห่งนี้ได้รับรางวัล “Best of the Best” ศูนย์การค้าสุดยอดแห่งความเป็นเลิศ ประจำปี 2010 สาขาการออกแบบและพัฒนา จากคณะกรรมการศูนย์การค้านานาชาติ หรือ ไอซีเอสซี (ICSC) ทำให้คนในตระกูลจิราธิวัฒน์ต้องรู้สึกทั้งปลาบปลื้มที่สุดและขมขื่นที่สุดไปพร้อมๆ กันด้วย
......เราแยกย้ายจากครอบครัวคุณผู้ชายคนนั้น ขณะที่ดิฉันพยายามนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่เคยอ่านมาเกี่ยวกับวังสระปทุม และพระราชวังปทุมวัน การเดินทางด้วยเรือของพระมหากษัตริย์ ราชวงศ์และข้าราชบริพารมายังพระราชวังปทุมวันและวังสระปทุม
......คำบรรยายถึงความงดงามของสระบัวหลากชนิดตระการตา ความร่มรื่นของวังเพชรบูรณ์ ดิฉันก็ยังขนลุกกับสภาพที่ธรรมชาติล่มสลาย และไม่รู้ชีวิตมากมายสักเท่าไรที่ต้องถูกสังเวยไปก่อนห้างสรรพสินค้าโอฬารขนาดนี้จะถือกำเนิดขึ้น
......ดิฉันเป็นชาวพุทธ ที่สวดแผ่เมตตาทุกวัน ดิฉันรู้สึกว่า ชีวิตจำนวนมหาศาล ได้ดิ้นรนท่ามกลางความทุกข์ ความมืดมน ความสับสน ความหวาดกลัว ก่อนที่จะตายไปในอาการต่างๆ ในท่ามกลางการพัฒนานี้ และอดที่จะสงบนิ่งสักครู่หนึ่งไม่ได้ เพื่อส่งคำสวดแผ่เมตตาอีกครั้ง
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 8)
ภัตตาคารจันทร์เพ็ญ ดังดอกไม้กลางไฟฟอน
......เราเดินออกจากร้านข้าวขาหมูมา ตอนแรกว่าจะไปที่รถเพื่อไปตระเวนพื้นที่กว้างๆ ของบ่อนไก่และคลองเตยกันก่อน แต่ไหนๆ ก็อยู่หน้าสะพานลอยแล้ว เราก็อยากข้ามถนนไปดูฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีร่อยรอยความเสียหายมากกว่าฝั่งนี้ อาคารหลายแห่งถูกตีปิดเพราะถูกเผา
......เรายังอยากไปดูจุดที่ตั้งบังเกอร์ของทหาร ร่องรอยความเสียหายของร้านค้าต่างๆ อันเกิดจากการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย และร่องรอยการเผายางของฝ่ายคนเสื้อแดง จึงเดินไปทางสะพานไทย-เบลเยี่ยม เดินผ่านฝั่งตรงข้ามที่เป็นปั๊มปตท. คุณพ.เล่าว่า ปั๊มนี้เดิมเป็นปั๊มเอสโซ่ แต่ก่อนที่จะเป็นปั๊มเอสโซ่ เคยเป็นที่ทำการขององค์การรสพ.
......ดิฉันนึกถึงเรื่องราวขององค์การนี้ขึ้นมาทันที เพราะสมัยก่อนนั่งรถเมล์สาย 4 หรือรถรสพ.บ่อยๆ องค์การรสพ.เรียกเต็มว่า “องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์” เป็นรัฐวิสาหกิจเก่าที่ถูกยุบไปในสมัยรัฐบาลทักษิณ ที่ทำการใหญ่ของรสพ.เดิมอยู่ที่ซอยรางน้ำ ปัจจุบันกลายเป็นคิงพาวเวอร์คอมเพล็กซ์ไปแล้ว
......เราเดินผ่านภัตตาคารจันทร์เพ็ญ คุณพ.เล่าว่า ภัตตาคารนี้รักษาตนเองให้อยู่รอดได้โดยอาศัยความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง นายจ้างเป็นคนไหหลำ เมื่อจ้างลูกน้องก็จะจ้างคนไหหลำด้วยกันเป็นสำคัญ และมีการดูแลเหมือนคนในครอบครัว เมื่อเกิดเหตุปะทะกันลูกจ้างต่างจึงพากันมาช่วยกันป้องกันภัย ทั้งด้วยการขอความเห็นใจ และด้วยการแข็งขืนไม่ยอมให้คนนอกเข้าร้านโดยเด็ดขาด ทั้งที่ฝั่งนี้มีอาคารหลายแห่งถูกเผา และภัตตาคารนี้ก็อยู่ในระยะที่สามารถเผาได้เช่นกัน
......เรารู้สึกร่วมกันว่า ในท่ามกลางอาคารต่างๆ ที่ถูกเผาบริเวณนี้ แต่ภัตตาคารนี้ดูไม่บอบช้ำ แม้แต่ต้นไม้ต่างๆ ก็ยังดูสดชื่นสวยงาม ประหนึ่ง “ดอกไม้กลางไฟฟอน” มันทำให้เรารู้สึกถึงความล้ำค่าของสิ่งที่เรียกว่าความสามัคคีและความผูกพันไม่ได้
......ไปหยุดดูหน้าสนามมวยลุมพินี คุณพ.เล่าว่า “สนามมวยนี้ไม่รู้มาได้อย่างไร เพราะด้านหลังเป็นที่ทหาร เป็นโรงเรียนเตรียมทหารเก่า”
“ตรงสวนลุมไนท์บาร์ซาร์นี่นะ” ดิฉันถาม เธอว่า “ใช่”
......ดิฉันนึกถึงความเป็นมาของโรงเรียนเตรียมทหารซึ่งก่อตั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงลองเช็คดู พบว่าที่ดินแปลงที่ติดกับสวนลุมพินีนี้ จำนวน 120 ไร่ เป็นที่ดินสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เลยได้พบด้วยว่า ที่ดินแปลงนี้มีลักษณะคล้ายที่ดินท่าเรือคลองเตย ที่ติดกับสวนขนาดใหญ่ และอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน ไม่ไกลกันนัก จึงเป็นที่หมายตาของกลุ่มทุนที่เตรียมเข้ามาพัฒนาโครงการคลองเตยคอมเพล็กซ์ในพื้นที่ท่าเรือคลองเตย 2,300 กว่าไร่ในสมัยรัฐบาลทักษิณด้วย
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 9)
ความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของบ่อนไก่
......เราไปแวะกินกาแฟกันที่ร้านกาแฟเขาทะลุ ของจังหวัดชุมพร ที่มีการขายแฟรนไชส์มาถึงบนถนนนี้ เจ้าของร้านเล่าว่า เพิ่งเปิดร้านได้ 3 เดือน แต่มาเจอมรสุมจากเหตุการณ์ไม่สงบจึงเท่ากับเพิ่งเปิดได้เดี๋ยวเดียว หน้าร้านและประตูเป็นกระจก ซึ่งเป็นของใหม่ เพราะของเดิมถูกยิงแตก ดีแต่ว่าของในร้านไม่ได้ถูกปล้นไปด้วย เพราะอาจจะอยู่ในรัศมียิงของทหารหรืออะไรก็แล้วแต่ เจ้าของร้านก็ถือว่า เป็นความโชคดีของตนเองในท่ามกลางความโชคร้ายนี้ แต่กระบังหน้าร้านที่เป็นไม้ ยังมีร่องรอยถูกยิงหลายแผล ทั้งจากฝั่งของเสื้อแดง และจากฝั่งของทหาร
......เราเดินย้อนกลับมาทางซอยงามดูพลี แวะดูร่องรอยของกระสุนที่ประทับไว้กับเสาไฟฟ้าบ้าง หน้าร้านของบางร้านบ้าง ทำให้เราได้เห็นว่า มีห้างฝรั่งห้างหนึ่งทำกระจกนิรภัยอย่างดี เป็นกระจกสองชั้น ถึงชั้นนอกแตก แต่ก็ไม่ผ่านไปถึงข้างใน ทำให้มีความปลอดภัยสูง ส่วนอาคารที่ไฟไหม้หลายแห่งนั้น ถูกตีสังกะสีปิดหมดแล้ว จึงไม่ได้เห็นอะไร ได้แต่รู้สึกแปลกใจที่ฝั่งงามดูพลี มีอาคารถูกเผาจำนวนมาก แต่ฝั่งตลาดบ่อนไก่ กลับไม่มีที่ไหนถูกเผาเลย
......เราเดินเลยไปข้ามสะพานลอยกลับไปฝั่งบ่อนไก่ แต่ไปข้ามอีกสะพานหนึ่งตรงซอยสุวรรณสวัสดิ์ ซึ่งใต้สะพานลอยนี้คงเป็นที่เผายางอย่างมโหฬาร เพราะคราบเขม่ายังจับแน่นอยู่ที่ตัวสะพานลอยให้เห็น แสดงให้เห็นว่า คนเสื้อแดงกระจายกันอยู่หลายชั้นบนถนนพระราม 4 และจากปากคำคนบ่อนไก่ คนเสื้อแดงได้ตั้งด่านตรงทางถนนพระราม 4 ใต้ด่วนด้วย
......ทำไมตรงนี้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ เข้าใจได้จากปากคำของชาวเสื้อแดงเอง ว่าเป็นทั้งเส้นทางลำเลียงอาหาร อาวุธ และเส้นทางเข้าออกหรือหลบหนีของการ์ดนปช. รวมทั้งยังเป็นทางผ่านเข้าออกช่องทางลับไปสู่เวทีราชประสงค์ด้วย
......ที่ดิฉันอ่านพบในอินเทอร์เน็ต ในบล็อกของคุณหมวย อ้างอิงข้อเขียนที่ลิงก์มาจากเว็บของคนเสื้อแดงมาให้อ่านอีกที
......คุณหมวยเจ้าของบล็อกที่ดิฉันเข้าไปอ่านนั้น เธอเป็นชาวงามดูพลี แต่อยู่ในซอยลึกเข้าไป จึงได้รับผลกระทบไม่มากนัก หลังเหตุการณ์สงบ เธอได้เดินข้ามฝั่งไปถามไถ่เหตุการณ์เรื่องราวจากชาวชุมชนบ่อนไก่ ทั้งด้วยความห่วงใยในฐานะคนละแวกเดียวกัน และด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าเรื่อง “เหลืองในแดง” ที่การ์ดอาสาของนปช.บางคนเขียนถึงนั้นหมายถึงอะไร โดยเธอได้อ้างถึง “บันทึกลับของการ์ดอาสาของเสื้อแดง” คนหนึ่งที่เขามาร่วมปฏิบัติการในพื้นที่บ่อนไก่เมื่อวันที่ 17–19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งเธออ่านพบจากเว็บของชาวเสื้อแดง
......คุณหมวยนั้นเข้าไปรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเห็นใจทุกฝ่าย ดังที่เธอได้ประมวลสรุปไว้ และให้ความเห็นว่า ทุกคนล้วนเป็นเหยื่อของสถานการณ์ ส่วนดิฉันก็บังเอิญพบน้องที่อยู่บ่อนไก่ซึ่งอยู่ตรงจุดปะทะและเล่าเหตุการณ์นี้ให้ดิฉันฟังมาแล้วในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม เมื่อพบกันในวันทำบุญวิสาขบูชา มาเข้าใจหลายๆ อย่างเพิ่มขึ้นจากคุณพ. แต่ภาพทั้งหมดก็ยังดูเลือนลางสำหรับดิฉัน
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 10)
ชาวบ่อนไก่ก็รักในหลวงนะ
......คุณพ.พาเราเข้าตลาดบ่อนไก่จากเชิงสะพานลอยเข้าซอยใกล้ธนาคารกรุงเทพฯ ดิฉันสังเกตว่าแบงก์นี้ไม่ได้ถูกเผาด้วย ทั้งที่ที่อื่นๆ จะถือเป็นเป้าหมายหลักในการเผา คุณพ.บอกว่า สาขานี้มีการทำลายรั้ว ทุบกระจก ทุบตู้เอทีเอ็มเท่านั้น ขณะที่ธนาคารกสิกรไทยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถูกเผาหมด
......ด้วยปากคำของคนเสื้อแดงตามลิงก์ที่ดิฉันนำมาวางไว้นั้น คงบอกเราได้ว่า คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งก็ห้ามปรามกันเอง เพราะกลัวไฟลามไปติดบ้านเรือนผู้คน ซึ่งชุมชนแออัดที่อยู่หลังธนาคารส่วนใหญ่ก็เป็นคนเสื้อแดงทั้งนั้น และคนเสื้อแดงในชุมชนบ่อนไก่บางคนก็ออกมาร่วมต่อสู้กับทหารอยู่ในท้องถนนด้วย
......ตลาดบ่อนไก่อยู่ติดกับชุมชนแออัด ดิฉันแวะซื้อผักจากแผงรถเข็น ใกล้ปากตรอกเล็กๆ ที่เป็นทางเข้าหนึ่งของชุมชน ผักสดและถูก ซึ่งเป็นเสน่ห์ของทุกชุมชนแออัด เดินมาอีกหน่อย ดิฉันเหลือบเห็นซุ้มเล็กๆ ปากทางเข้าตรอกเล็กๆ อีกตรอกหนึ่ง ตรงเสาซุ้มมีสติกเกอร์ปิดว่า “หยุดฆ่าประชาชน” สีแดงฉาน มีรอยพยายามลอกแต่ลอกไม่ได้ จึงเข้าไปถ่ายรูป และเลยถ่ายรูปซุ้มทั้งซุ้มนั้นด้วย เพราะสังเกตมีไฟกระพริบประดับประดาอยู่
......หญิงชาวบ้านคนหนึ่งมองดูเราอย่างแปลกใจ เราจึงบอกเขาว่า “กำลังหัดถ่ายรูป เห็นซุ้มแปลกดีและสวยดี เลยถ่ายไว้” เธอรีบอธิบายว่า ซุ้มนี้มีไว้เพื่อติดรูปของในหลวงและสมเด็จฯ ในวันพ่อและวันแม่ ดูเหมือนเธอจะพยายามบอกเราอ้อมๆ ว่า “ชาวชุมชนตรงนี้ก็รักในหลวงนะ”
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 11)
คุยกับคนเก่าแก่ของบ่อนไก่
.......ตรงกลางชุมชนแออัดยังมีบริเวณที่โล่งและร่มรื่นอยู่ภายใน เพราะมีต้นไม้ใหญ่ 2–3 ต้น แต่ละต้นมีศาลประจำต้นไม้ ต้นที่ใหญ่สุดและเก่าแก่ที่สุดมีศาลใหญ่กว่าเพื่อน มีพวงมาลัยเต็มไปหมด แสดงความนับถือพระภูมิเจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวชุมชน
.......เราพบอาเจ๊กคนหนึ่งอายุราว 70 ปีเศษ กำลังนั่งสบายอารมณ์ในร้านหรือโรงครัวริมทางเดิน สังเกตจากถุงเครื่องปรุงก๊วยเตี๋ยวที่จัดไว้เป็นชุดๆ ใส่รวมไว้เป็นถุงใหญ่ 2 ถุง ก็พอบอกอาชีพของอาเจ็กคนนี้ได้ ดิฉันเข้าไปด้อมๆ มองๆ แล้วขออนุญาตถ่ายรูปอาเจ็กไว้ ปรากฏว่าได้รับอนุญาต การถามไถ่ทักทายจึงเริ่มขึ้น
.......อาศัยคุณพ.เป็นคนเคยอยู่บ่อนไก่ เมื่อเธออธิบายว่า จะมาหาญาติแฟลตไหน ชั้นไหน อาเจ๊ก็รู้ว่ามาจากไหน มาหาใคร ก็ให้ความเป็นกันเองมากขึ้น คุณพ.จึงถามถึงช่วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไรบ้าง ย้ายไปอยู่ไหนหรือเปล่า อาเจ็กบอกว่า เป็นห่วงบ้านไม่กล้าไป จึงต้องอดทนอยู่ แต่แสบจมูกมาก หายใจไม่ได้เลย เราจึงช่วยกันบอกให้ไปตรวจสุขภาพ แต่อาเจ็กบอกหายแล้ว
.......ดิฉันจึงแนะนำให้กินต้มเลือดหมู เพราะล้างปอดได้ตามคติความเชื่อของคนจีน อาเจ็กดีใจที่มีคนรุ่นหลังยังเชื่อฟังคนรุ่นก่อน การสนทนาจึงเปลี่ยนทางมาสู่การถามไถ่เทือกเถาเหล่ากอ และความภาคภูมิใจของอาเจ๊กที่มีโอกาสไปเมืองจีนหลายครั้ง “ลำบากจริงๆ นะอาเจ็ก กว่าคนที่มาจากเมืองจีนจะตั้งตัวได้ เพราะต้องส่งโพยก๊วนกลับเมืองจีนด้วย” อาเจ็กรับคำอย่างเห็นพ้อง
.......ดิฉันหวนกลับไปคุยเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านมา โดยนำคำที่มีคนเสื้อแดงบางคนอธิบายกรณีเผาเมืองไปถามอาเจ็ก “อาเจ็ก เขาบอกว่าทหารปลอมตัวมาเผาจริงไหม” อาเจ็กทำหน้าปูเลี่ยนๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย “อั๊วไม่รู้อ่ะ แต่มันมาด้วยกันนะ มากันกับเสื้อแดง มันไม่น่าเป็นทหารน่ะ”
.......“เขาว่าคนที่มาเผามาจากคลองเตยจริงไหม” ดิฉันยิงคำถามด้วยสิ่งที่ได้ยินมาอีก “มันมากันเยอะแยะไม่รู้มาจากไหนมั่ง คนในนี้ก็มีไปเอากับมันด้วยนา ไม่น่าเลยนา” อาเจ็กส่ายหน้าด้วยความสลด “ก็ยังดีนะอาเจ็ก ที่เขาไม่มาเผาฝั่งนี้” อาเจ็กถอนหายใจเฮือก “ถ้ามันเผาก็หมด มันก็จะเผาเหมือนกัน ก็ต้องไปขอร้องกันไว้”
.......ถามๆ ไปจึงได้รู้ว่า ที่ไปขอร้องก็คือ ไปขอร้องเสื้อแดงที่เป็นคนบ่อนไก่ให้ไปขอร้องต่อ และเช่นเดียวกับอาซ้อปากซอย อาเจ็กบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการประสานงานสั่งการผ่านวิทยุสื่อสาร แต่ที่เราได้รู้มากกว่านั้นคือ ที่ชาวบ้านต้องรวมพลังกันรักษาชุมชนไว้ ก็เพราะคนเสื้อแดงคุยกันเรื่องต้องเผาแฟลต โดยที่ฝั่งตรงข้ามด้านซอยงามดูพลี กระบวนการเผาอาคารต่างๆ ก็ได้เริ่มขึ้นให้เห็นแล้ว
.......ไฟไหม้ เป็นเรื่องน่ากลัวที่สุดของชาวชุมชนแออัดทุกยุคทุกสมัย อาเจ็กถือเป็นคนสองสถานะในชุมชนบ่อนไก่แห่งนี้ คือมีร้านอยู่ในตัวชุมชนแออัดที่ปลูกติดพื้นดิน แต่ก็มีแฟลตอยู่ ซึ่งเช่าอยู่ได้ตามสิทธิ์ในฐานะคนเก่าแก่ของชุมชนบ่อนไก่นี้ คือเข้ามาอาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้กว่า 50 ปีแล้ว
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 12)
จากพื้นราบสู่แฟลตสูง ชุมชนที่ยังดำรงไว้ได้
.......ชุมชนบ่อนไก่เดิมเป็นชุมชนชาวจีน คุณพ.เล่าว่าเป็นชาวจีนที่โยกย้ายมาจากสัมพันธวงศ์ และเยาวราช เมื่อพื้นที่ตรงนั้นแออัดขึ้น แต่ดิฉันยังมีข้อสังเกตว่า ชุมชนชาวจีนบริเวณนี้ยังอาจเก่าแก่กว่านั้น เพราะตามประวัติการสร้างพระราชวังปทุมวันที่กลายมาเป็นวังเพชรบูรณ์และเซ็นทรัลเวิลด์ในปัจจุบันนั้น ก็อาศัยแรงงานจีนที่มาขุดสระใหญ่ ส่วน “ถนนตรง” ที่กลายมาเป็นถนนพระราม 4 ที่รัชกาลที่ 4 โปรดให้สร้างขึ้นในสมัยไล่เลี่ยกัน ก็จ้างจีนขุดคลองแล้วเอาดินที่ขุดนั้นถมเป็นถนน จึงคิดว่า เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ที่ตรงนี้ก็อาจเป็นชุมชนชาวจีนหนึ่งก็เป็นได้ เพราะการกระจายตัวของชุมชนชาวจีนส่วนหนึ่งมาจากการเคลื่อนย้ายตามงานที่มีให้ทำ
......ดิฉันจึงถามเธอถึงสิ่งที่เธอเคยเห็นเมื่อยังเด็ก ว่าคนที่นี่ทำอะไรกัน ได้ความว่า ที่นี่เป็นแหล่งเลี้ยงนกกระทา เลี้ยงหมู และมีบ่อนไก่อีกด้วย สมัยเธอยังเด็กเมื่อสี่สิบปีก่อน พื้นที่รอบชุมชนเดิมของบ่อนไก่ เป็นแอ่ง เป็นบึง หรือที่น้ำท่วมขัง ทำอะไรไม่ได้มากนัก จนเมื่อคนเข้ามาอยู่จนแออัด การเคหะจึงเริ่มพัฒนาถมที่ที่เป็นแอ่งเหล่านั้น แล้วสร้างแฟลตให้คนในชุมชนขึ้นมาอยู่ทีละส่วน ดิฉันจึงได้ความรู้เพิ่มเติมว่า เวลาคนบ่อนไก่เขาถามกันว่า “อยู่แฟลตไหน” นั่นหมายถึง เขาจะรู้โดยอัตโนมัติว่า เดิมเป็นคนที่อาศัยอยู่ซอยไหน หรือบางทีถึงขั้นรู้ว่ามีเทือกเถาเหล่ากออะไร
.......เราปักหลักคุยกับอาเจ็กนานมาก การคุยกับอาเจ็กทำให้เราได้รู้ว่า การจัดการนำชุมชนขึ้นมาอยู่บนแฟลตที่เคหะบ่อนไก่ใช้ได้ทีเดียว เพราะอาเจ็กเป็นครอบครัวใหญ่ จึงได้รับสิทธิอยู่อาศัยถึง 4 ห้อง เพียงพอกับสมาชิก แต่อาเจ็กยังคงรักษาพื้นที่ทำอาหารที่ข้างล่างนี้ไว้ เพราะทำของขายบนแฟลตไม่สะดวก และรู้สึกชอบบรรยากาศข้างล่างมากกว่าด้วย ส่วนก๊วยเตี๋ยวที่ขายนั้น ลูกเป็นคนเอาไปขายที่ริมถนนข้างนอก เพราะข้างในไม่ใช่ทำเลค้าขายได้ ชีวิตจึงมีความลงตัวเป็นอย่างดี
.......แฟลตที่บ่อนไก่นั้น ผู้อยู่อาศัยเป็นเพียงผู้เช่า แต่ขายสิทธิ์ได้ การมีสิทธิ์อยู่อาศัยนี้จึงถือเป็นทรัพย์สินสูงค่าของชาวแฟลต เช่นอาเจ็ก ทำมาหาค้าขาย เก็บหอมรอมริบ ส่งลูกเรียน ไต่เต้าสร้างฐานะหลายสิบปี จนพอมีเงินไปไหว้บรรพบุรุษที่เมืองจีนหลายครั้ง ที่อยู่เดิมก็เป็นที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นเรือนแถวไม้ และอาศัยเรือนแถวไม้นั้นทำมาค้าขายสร้างเนื้อสร้างตัวมา อาเจ็กจึงรักแผ่นดินไทย แม้ไม่ใช่แผ่นดินถิ่นเกิด และรู้สึกได้อาศัยยืนและลงหลักปักฐานในที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ ซึ่งมีค่าเช่าถูก และเมื่อเวนคืนสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ก็จะให้สิทธิกับคนที่เคยอยู่ก่อนเสมอ
.......ดิฉันเพิ่งเข้าใจว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับจีนในสังคมไทยนั้น ไม่ใช่เพียงความสัมพันธ์ในเชิงแนวระนาบ แบบที่รัชกาลที่ 2 เคยเขียนถึง เจ้าจอมมารดาอำภา (ต้นสกุลปราโมช) ว่า “สายหยุดพุดจีบจีน เจ้ามีสินพี่มีศักดิ์ ชาววังเขาชังนัก แต่พี่รักเจ้าคนเดียว” แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับจีน ยังเป็นความสัมพันธ์ในเชิงแนวดิ่ง ที่เชื่อมโยงกันผ่านระบบอุปถัมภ์อีกด้วย
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 13)
จุดที่ยอมกันไม่ได้
.......“อาเจ็ก ทำไมเขาต้องยิงกันด้วยในบ่อนไก่นี่” ดิฉันถามขึ้น โดยเล่าเรื่องของน้องที่อยู่ตึก 14 ชั้น ที่ดิฉันพบในงานวิสาขบูชาให้ฟัง อาเจ็กตอบซื่อๆ ว่า “อั๊วไม่ค่อยรู้ แต่เสื้อแดงอีสั่งกันว่า อีจะเผาแฟลต ทหารก็เข้าไม่ได้ ตำรวจก็ไม่มา คนอยู่แฟลตก็ไม่ยอม เลยยิงกันใหญ่ น่ากลัวจริงๆ”
.......“แล้วอาเจ็กไม่ไปอยู่ที่อื่นล่ะ”
“ไม่ไป อั๊วอยู่แฟลตข้างในไม่เป็นไร อียิงไม่ถึง อียิงกันแถวแฟลตข้างนอกนี่”
“แล้วอาหารการกินอาเจ็กทำยังไง ถูกปิดล้อมแบบนี้”
อาเจ็กตอบว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร มีทางออกไปซื้อคลองเตยได้ ที่หนักที่สุดคือ เรื่องไฟดับ พวกอยู่ข้างล่าง มีน้ำใช้ไม่มีปัญหา แต่ไม่มีไฟใช้ ส่วนพวกอยู่ข้างบน น้ำไม่ขึ้น เลยไม่มีทั้งน้ำทั้งไฟ แย่ตรงนี้”
.......เวลาเราอ่านข่าว เราพบว่าคนบ่อนไก่ขาดแคลนอาหาร แต่พอได้คุยกับคนในชุมชน กลับไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของพวกเขา อาหารการกินอาจซื้อได้ยาก และต้องไปซื้อไกล แต่ก็มีช่องทางไปซื้อหาได้ในช่วงเวลากลางวัน ที่อาเจ็กสลดใจมาก ก็คือการปล้นร้านค้า 7-11 และโลตัส ทุบตู้เอทีเอ็ม อาเจ็กรู้สึกว่าเป็นเรื่องศีลธรรมเสื่อม และทำให้ชุมชนเดือดร้อน ต้องไปหาซื้ออาหารจากที่ไกลขึ้น เสี่ยงขึ้น
.......อาเจ็กไม่อยากเชื่อว่า นั่นเป็นการกระทำของคนบ่อนไก่ เพราะคนบ่อนไก่เป็นคนรักสงบ อยู่กันอย่างสงบมาตลอด แต่อาเจ็กก็ไม่แน่ใจ เพราะช่วงหลังมีคนจากต่างจังหวัดเข้ามาอยู่มากขึ้น บางพวกเป็นคนมาเช่าอยู่ ไม่มีความผูกพันกับชุมชน อาเจ็กมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะมีคนไม่ดีบางคนในชุมชน ไปพาเอาคนไม่ดีเข้ามาก่อเรื่องในชุมชน ที่บ่อนไก่จึงต้องรับผลสะเทือนหนักกว่าทุกที่
.......เราลาอาเจ็กมา โดยที่เห็นภาพชัดเจน ชาวบ่อนไก่เดิมที่เป็นชุมชนชาวจีน ย้ายขึ้นไปอยู่บนแฟลตกันหมดแล้ว หรือเกือบหมดแล้ว ส่วนพื้นที่ว่างระหว่างแฟลตได้ถูกบุกรุกโดยคนที่เข้ามาอยู่ใหม่ ซึ่งในที่นี้อาจเป็นทั้งชาวแฟลตเดิมที่ยังไม่เคยได้สิทธิ์ อาจเพราะเมื่อตอนใช้สิทธิ์ยังเด็กอยู่ จึงลงมาอยู่เพื่อได้สิทธิ์สำหรับการก่อสร้างแฟลตใหม่ในรอบหน้า ซึ่งคนส่วนน้อยจะมีน้อยมาก ชาวต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพและหาที่พักราคาถูกเพื่อเหมาะสมกับค่าครองชีพ พออยู่ไปนานๆ พื้นที่ที่เป็นช่องว่างก็เต็มไปด้วยผู้คน กลายเป็นชาวชุมชนแออัดใหม่ แต่เป็นชุมชนใหม่ที่ไม่เป็นเนื้อเดียวกับชาวแฟลตเดิม
.......ชาวชุมชนแออัดเหล่านี้ในช่วงที่เสื้อแดงมีกระแสสูง ต่างติดพีทีวีดูกันทั้งชุมชน ว่ากันว่า มีคนมาติดตั้งให้ฟรี คนจำนวนมากไปร่วมชุมนุม ทั้งโดยได้รับค่าจ้างและโดยใจสมัคร หรือทั้งสองอย่าง
.......ชาวแฟลตจะมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าชาวชุมชนแออัดที่อยู่ติดกัน ซึ่งแต่เดิมไม่ได้มีรอยร้าวระหว่างกัน เพราะวงจรชีวิตหลายอย่างก็ยังเกี่ยวข้องกัน เช่น ค้าขายด้วยกัน แต่เมื่อการชุมนุมของคนเสื้อแดงมาถึง ชุมชนแออัดในบ่อนไก่กลายเป็นเขตพื้นที่สีแดง กลายเป็นเขตหลังที่ไว้ใจได้ของเวทีราชประสงค์ ทั้งเมื่อถึงเวลาคับขัน คนเสื้อแดงยังยึดปากทางเข้าบ่อนไก่เป็นสมรภูมิ โดยมีกำลังพลเสื้อแดงที่เคลื่อนย้ายมาจากที่ต่างๆ เข้ามาสมทบตลอดเวลา
.......ส่วนชาวแฟลตบางส่วนนิยมเสื้อเหลือง ส่วนใหญ่ไม่สนใจการเมือง และมีน้อยเต็มทีที่จะเป็นเสื้อแดง ชาวแฟลตเหล่านี้อดทนมายาวนาน รอคอยให้คนเสื้อแดงยุติการชุมนุม เพราะได้รับผลกระทบทางการค้า และชีวิตประจำวันถูกกระทบกระเทือนมาก เหมือนถูกทุบหม้อข้าว แต่คนเสื้อแดงกลับชุมนุมยืดเยื้อและไม่มีท่าทียุติ จึงกลายเป็นจุดบ่มเพาะความไม่พอใจต่อคนเสื้อแดง เพราะคนในชุมชนแออัดนั้น การชุมนุมอาจทำให้เศรษฐกิจเขาดีขึ้นด้วยซ้ำ แต่ชาวแฟลตเลือดตากระเด็นขึ้นทุกที กระนั้นชาวแฟลตก็ปล่อยให้คนเสื้อแดงขับเคลื่อนกิจกรรมของตนเองไป เพราะทำอะไรไม่ได้
........จุดที่ยอมกันไม่ได้ ก็คือ การคิดยึดแฟลตเพื่อเป็นชัยภูมิสู้รบกับทหาร หรือคิดเผาแฟลต มันเป็นจุดจนตรอก ตอนดิฉันคุยกับอาเจ็ก เรื่อง “ตำรวจไม่เข้ามา” มันเหมือนผ่านๆ หูไป แต่ในอีกไม่กี่ก้าว ดิฉันจะได้รับฟังเรื่องราวที่ขยายส่วนนี้ และทำให้ต่อภาพได้ชัดเจนว่า การลุกขึ้นสู้ของชาวแฟลตนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 14)
เรื่องเล่าชาวแฟลต 3
.......เมื่อเราไปถึงรถของคุณพ. ผู้หญิงคนหนึ่งสวนทางมา ดิฉันยิ้มให้เธอ เธอจึงถามว่า เราเป็นใคร มาทำอะไร และแจกนามบัตรให้ เธอเป็นเจ้าหน้าที่ขายตรงของซูเลียนบ่อนไก่ และชวนเราไปกินกาแฟที่ออฟฟิศ เธอให้เราเรียกว่า “ป้าอ๊อด” ป้าอ๊อดคงรุ่นราวคราวเดียวกับดิฉัน พวกเราเลยตามเธอไป ไปถึงเธอพาเราไปหาผู้จัดการ ชื่อ “เฮียปิง” เฮียปิงอายุราว 60 ปี คุณพ.จำเฮียปิงได้ ว่าเคยเป็นเจ้าของร้านโชว์ห่วยใหญ่ในบ่อนไก่ หลังจากไล่ลำดับจนรู้ว่าใครเป็นใครแล้ว เฮียปิงก็เล่าให้เราฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ปิดบัง
.......“เขาว่าเสื้อแดงยิงหม้อแปลงไฟฟ้าจริงไหมคะ” ดิฉันเริ่มถาม “ตรงนี้ผมไม่รู้นะ แฟลตข้างนอกจะรู้ ตรงนี้เรารู้แต่ว่า อยู่ดีๆ ไฟก็ดับพรึบ” พอดิฉันเล่าเรื่องที่ได้ยินมา เฮียปิงก็รับ “ใช่ ถ้าเขาอยู่ตึกนั้น เขาจะเห็น เราอยู่ถัดมา เราไม่เห็น”
“งั้นที่ว่ายิงกัน ก็ยิงกันที่ตึกข้างนอกสิคะ” ดิฉันถามต่อ “ผมไม่รู้นะ ตรงข้างนอก ก็อาจจะมียิงกันเหมือนกัน แต่ตรงข้างในนี้ ยิงกันแบบไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตก็แล้วกัน”
“ทำไมต้องยิงกันด้วยล่ะ” ดิฉันถาม เฮียปิงจึงร่ายยาวถึงความเป็นมาทั้งหมด
.......“พวกอยู่แฟลตเป็นคนเก่าแก่ สร้างเนื้อสร้างตัวกันมานาน บางคนก็ชอบเสื้อเหลือง ไม่ชอบคนโกงกิน เราเป็นคนสุจริต เราจะชอบคนโกงได้ยังไง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไร เป็นคนทำมาหากิน พวกมาอยู่ใหม่ มาปลูกเพิงข้างๆ แฟลต เป็นพวกต่างจังหวัด บางพวกก็มาเช่าต่อจากพวกที่ย้ายไปอยู่ที่อื่นก็มี พวกนี้ดูทีวีเสื้อแดงทั้งวัน พอมีชุมนุมก็โบกธงแดงกัน วินมอเตอร์ไซค์ก็ติดธงแดง เราก็ไม่ว่ากัน ทีนี้ตอนรัฐบาลเขาปิดพื้นที่ราชประสงค์ พวกเสื้อแดงก็ใช้ที่นี่เป็นทางผ่าน ใช้เป็นสมรภูมิสู้กับทหาร หนักเข้าปล้นร้านค้า เผาอีก เราก็ต้องปิดทางเข้าตึก เราก็ตั้งด่านของเราเหมือนกัน”
.......“เอาอะไรมาปิดตั้งด่าน” ดิฉันถาม เพราะนึกถึงด่านยางของเสื้อแดง “เอาทุกอย่างที่มี ถังขยะ โต๊ะหรืออะไรที่เอามาปิดได้ ก็ปิดทางเข้าออกจากแฟลตเรา ยิ่งช่วงท้ายๆ มันดุเดือดขึ้นทุกที เราได้ยินว่าเขาจะเผาแฟลต เราก็ต้องป้องกันเต็มที่ ไฟไหม้เรื่องใหญ่นะ”
.......“ทำไมถึงกล้าหาญกันขนาดนี้” ดิฉันถาม เฮียปิงหัวเราะ “ไม่ได้กล้าหาญ ไม่ได้กล้าเลย มันไม่มีทางเลือก ผมไปหาตำรวจ ไปขอร้องเขา ให้เข้ามาช่วยดูแลพื้นที่ เพราะเสื้อแดงมีอาวุธ มีน้ำมัน ให้ตำรวจช่วยมาคุ้มครองหน่อย ตำรวจบอกว่ายังไงรู้ไหม เขาบอกว่า ศอฉ.ไม่ได้สั่ง เขาไปไม่ได้ นี่มันไม่เกี่ยวกับศอฉ.สั่งหรือไม่สั่ง มันหน้าที่ปกติ คุณต้องดูแลความสงบเรียบร้อยให้ชาวบ้าน แต่เขาไม่ทำ แล้วเราจะปล่อยให้แฟลตถูกยึดถูกเผาได้ยังไง นี่แหละ ผมถึงบอกว่า มันจำเป็น ถึงเวลามันต้องลุกขึ้นมาช่วยตัวเอง” ดิฉันอึ้งไปเลย
.......เฮียปิงบอกว่า “ชาวแฟลตช่วยๆ กัน อยู่เวรยาม รักษาด่าน 24 ชั่วโมง ในสภาพที่ไฟดับ น้ำไม่มี มีเฉพาะชั้นล่าง ใครมีปืนก็รวบรวมขึ้นมา เพราะเสื้อแดงมีอาวุธมากกว่าเราหลายเท่า แต่เราอยู่ในที่ตั้ง เลยพอไหว เราเอาแค่ป้องกันตัว ป้องกันแฟลต ไม่ยุ่งเรื่องอื่น เหมือนในสงคราม ยิงกันสนั่นหวั่นไหว ไม่รู้อะไรเป็นอะไร แต่เราป้องกันแฟลตสำเร็จ”
.......ชั่วเวลาไม่กี่วัน เฮียปิงหมดไปหลายหมื่นสำหรับการป้องกันแฟลต ในฐานะที่ใครมีเงินออกเงิน ใครมีแรงออกแรง “เท่าไหร่ก็ต้องจ่าย แล้วคิดดู พวกเขาเสี่ยงชีวิตกันนะ ผมให้เลย ใครอยากกินเหล้าดีๆ เอาเลย เลี้ยงดูปูเสื่อ ทุ่มสุดตัว ถ้ารวมกับที่ร้านต้องปิดไป 10 วัน ผมหมดเป็นแสนนะ”
ไม่ต้องสงสัยว่า เฮียปิงจะเชื่อเรื่องท่อน้ำเลี้ยงทักษิณหรือไม่ เพราะเมื่อเทียบกับตนเองที่จ่ายให้คนแค่จำนวนหนึ่งระดับสิบๆ คน และจ่ายเพียงไม่กี่วัน เพียงเพื่อป้องกันแฟลต ยังหมดขนาดนี้ ถ้าเป็นเรื่องแย่งชิงอำนาจรัฐ ก็ไม่ต้องคิดว่าจะต้องทุ่มเงินเท่าไหร่ และหมดเปลืองขนาดไหน
......แต่ดูเหมือนเฮียปิงจะปล่อยวางเรื่องทั้งหมดลงไปแล้ว และก้มหน้าก้มตาบริหารธุรกิจของตนต่อไป เฮียปิงเสียดายมากที่พวกเราจะต้องไปทำธุระต่อ เพราะเฮียปิงสนใจคุณศ. ซึ่งเคยขายโชว์ห่วยมาก่อน อยากขยายคุณศ.เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายเฮียปิง ซึ่งเราก็บอกกับเฮียปิงว่า วันหลังเราจะกลับมาอีก
คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย (ตอนที่ 15)
ยังมีความจริงอีกหลายส่วนที่รออยู่
......ความจริงเรื่องในชุมชนบ่อนไก่ ยังมีเรื่องที่ดิฉันอยากเข้าไปสอบถามอีกมากมาย ที่ตั้งใจจะไปคุยกับญาติของคุณพ.ก็ยังไม่ได้ทำเลย และดิฉันยังรู้จากบางบล็อกในอินเทอร์เน็ตด้วยว่า ท้ายซอยบ่อนไก่ แถวซอยโปโล ซอยพระเจน และซอยร่วมฤดี ชาวบ่อนไก่ก็มีการจัดเวรยามระวังภัย
.......ซึ่งบริเวณท้ายซอยบ่อนไก่นี้จะเป็นบริเวณที่ตรงกับส่วนที่การ์ดอาสานปช.กล่าวถึงว่า เป็น “หมู่บ้านพันธมิตร” ซึ่งช่วงแรกเสื้อแดงยังอาศัยผ่านทางได้ แต่ช่วงหลังกลายเป็นพิษสงของคนเสื้อแดงที่คิดใช้เป็นทางผ่านเข้าออก คนบ่อนไก่บางคนก็ได้บอกเล่าเรื่องราวการป้องกันตนเองของคนชุมชนท้ายซอยบ่อนไก่เช่นกัน
.......ดังนั้น ถึงอย่างไรเราก็จะกลับมาลงพื้นที่นี้อีก แต่ที่เราต้องรีบผละออกมา เพราะบ่ายสองโมงครึ่งแล้ว เรายังมีรายการจะสำรวจพื้นที่คลองเตยกัน และยังคิดจะไปดูแผนที่ด้วยกัน เพื่อให้รู้ว่าวันนี้เราไปไหนกันมาบ้าง และแต่ละพื้นที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
.......เราคิดว่า พื้นที่คลองเตยมีความสำคัญมาก มีชุมชนแออัดขนาดใหญ่อยู่ที่นั่น แกนนำคนสำคัญของเสื้อแดงก็อยู่ที่นั่น มีบางคลิปที่บอกเราว่า กองกำลังคนชุดดำก็ฝังตัวอยู่ในพื้นที่คลองเตย และการเคลื่อนไหวใหญ่ในลักษณะเวทีคู่ขนานก็อยู่ที่นั่น
.......แต่เรื่องเกี่ยวกับคลองเตยทั้งหมดนี้ ยังเป็นเพียงเรื่องเล่าลือ เราไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่ ดิฉันเองสมัยสามสิบกว่าปีก่อน เคยมีเพื่อนๆ อยู่ในคลองเตย เคยเข้าออกบางส่วนของชุมชนคลองเตย พวกเขาเป็นคนงานโรงงานทอผ้า เคยไปกินไปนอนกับพวกเขา ความทรงจำนี้แม้เลือนรางมากตามวันเวลาที่ผ่านไป แต่สิ่งที่ยังติดตรึงอยู่ในใจก็คือ —
ในหมู่คนจนมีคนเลวก็จริง แต่คนจนไม่ใช่คนเลว และแม้พื้นที่จะคับแคบ แต่จิตใจก็อาจกว้างขวางได้
.......คุณพ.ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพื้นที่คลองเตย คุณศ.เคยลงพื้นที่คลองเตยอยู่บ้าง ส่วนดิฉันเหลือแต่ความทรงจำเลือนราง เราจึงคิดเพียงขับรถเข้าไปสำรวจพื้นที่กันเป็นสำคัญ