ความหวาดกลัวของหัวใจ

ความหวาดกลัวของหัวใจ

ผู้แต่ง: กัญญา พาณิชย์กุล · กัญญา ลีลาลัย · ฤดี เริงชัย

นั่งนับนิ้วถอยหลังกังวลจิต
แล้วตามติดดูใจอะไรเคลื่อน
ความจำได้หมายรู้ใดที่ได้เตือน
จึงเกิดเหมือนกระส่ายสับกับเหตุการณ์
ภาพความหลังหลั่งไหลออกเป็นสาย
ภาพความตายเลือดและศพที่พบผ่าน
จากสิบสี่ตุลาประชาชาญ
ถึงพฤษภาเหมือนวันวานเพิ่งผ่านไป
แค่ความตายจะน่ากลัวอะไรนัก
แต่สลักระเบิดเปิดไหวไหว
มันเสียบอยู่ในมุมมัวของหัวใจ
ซึ่งเป็นภัยกว่าทุกสิ่งยิ่งกว่าตาย
ไม่พูดเล่นอันตรายกว่าตายอีก
เราเร้นหลีกหารูปนามและความหมาย
มรณาเป็นครรลองเรื่องของกาย
สิ้นลมหายใจเมื่อไรตายทันที

เรายอมรับยถาสภาวะ
พิจารณามรณะไม่เคยหนี
อุทิศตนไม่เสียดายกายที่มี
ถึงวันนี้หรือวันไหนไม่เจือจาง
เพราะเพียงความเจ็บตายของกายเนื้อ
ให้เจ็บเหลือทรมานซ่านทั้งร่าง
ให้หวิวหวีดกรีดรัวทั่วสรรพางค์
ก็เจ็บอย่างแค่กายที่หมายรู้
แต่ความตายของใจไกลเกินนึก
สามารถนำความกร่อนสึกมาสิงสู่
หากหัวใจด้านตายร้ายน่าดู
เพราะศัตรูในกมลตนจะโต
เราพูดพร่ำร่ำบอกเรื่องสันติ
เรื่องสัมมาทิฎฐิละโทโส
เรื่องดีงามส่องไสวในมโน
อย่าให้ซูบซีดโซถึงตายไป

ตัวเราเองก็หวั่นไหวอยู่ไม่น้อย
เพื่อฝืนตนไม่ให้คล้อยคนส่วนใหญ่
ซึ่งมากคมเฉือนคมระดมชัย
สุดแต่คิดจริตใครจริตมัน
จึงต้องถามตนเองเพ่งพินิจ
เห็นสิ่งคิดยังงามใสจึงไม่หวั่น
แต่พะวงห้วงอาลัยอดีตอัน
ซึ่งเราเคยพัวพันครึ่งชีวิต
นี่คงเป็นวิบากกรรมอันนำเนื่อง
จึงสะดุดอยู่เนืองเนื่องต้องตามติด
เป็นกรรมเก่ากำหนดไม่หมดฤทธิ์
ให้เราต้องประกอบกิจประกาศธรรม
เมื่อสติต่อเนื่องใจสงบ
จึงเห็นพบภาพตนเองที่เคร่งคร่ำ
ตามข่าวสารไปมาจนหน้าดำ
เพราะกลัวเกิดรุนแรงซ้ำในสังคม

กลัวเรื่องตายไม่เท่ากลัวหัวใจหมอง
กลัวครรลองของกรรมซ้ำทับถม
กลัวผู้คนตกเป็นเหยื่อเมื่อระดม
กลัวอารมณ์เกลียดชังคลั่งทั้งเมือง
ยิ่งเห็นคนเล่มเกมเต็มไปหมด
ยิ่งสลดหดหู่เมื่อรู้เรื่อง
จึงสวดมนต์ภาวนาอยู่เนืองเนือง
หวังเป็นเฟืองฟันหนึ่งซึ่งเยือกเย็น
เราสวดมนต์ภาวนาให้(ทักษิณ)ลาออก
ให้ระลอกนี้อย่าถึงฆ่าเข่น
ให้ธรรมะส่องเตือนดุจเดือนเพ็ญ
ซึ่งใสเย็นดังธรรมนำอารมณ์
เราสนใจศึกษามาตลอด
เกี่ยวกับความอยู่รอดหรือแหลกล่ม
เกี่ยวกับความเป็นไปในสังคม
จึงสะสมความรู้ไว้ได้พอควร

เราได้เห็นบทเรียนอันเวียนว่าย
ความเลวร้ายฆ่าฟันกันอันไม่ถ้วน
ผลที่สุดพอสงบจบกระบวน
เหลือแต่ล้วนบาดแผลไว้ให้รายเรียง
พวกผู้นำจับมือใหม่ไปกันอีก
ต่างละปลีกจากเหยื่อกลบหลบหลีกเลี่ยง
ต่างฝ่ายต่างกลับเหล่าเข้าวังเวียง
เหลือแต่เพียงเพลงสวดศพของคนตาย
แล้วกงล้อของอธรรมก็นำหมุน
สังคมวุ่นวิ่งขวักเข้าฝักฝ่าย
คนไม่ทันต้องหลงทางหรือวางวาย
แต่สังคมดูพรึบพรายขายฝันเรือง
เกิดสร้างคนใหม่ใหม่มาไต่เต้า
เพื่อมุ่งเข้าสู่สภาโอ่อ่าเฟื่อง
สู่กลไกบริหารเรื่องบ้านเมือง
สู่ฟันเฟืององค์กรที่มีตามมา

เราจึงห่วงเรื่องของใจใหญ่ที่สุด
เรื่องความเป็นมนุษย์มนัสสา
ความใจสูงความซื่อสัตย์ละอัตตา
ซึ่งควรเป็นมรรคาของสังคม
หากว่าสู้แล้วทำให้ใจเราสูง
สู้แล้วจูงยกใจด้วยให้สวยสม
มิใช่สู้แล้วรวยด้วยคารม
เรายอมล้มตายไปเป็นไรมี
เพราะถ้าตายโดยที่มีสติ
ใจดำริสันติธรรมนำวิถี
สุคติก็เห็นได้ปลายทางดี
การอุทิศชีวีไม่เปล่าเปลือง
สู้อธรรมอหิงสาอโหสิ
หากไม่มีสติอย่างต่อเนื่อง
ไม่สร้างสมพรหมวิหารสถานประเทือง
อาศัยเพียงความปราดเปรื่องไม่มีทาง

เพราะต้องทนแรงกดดันอันหนักหน่วง
ภายใต้บ่วงอุบาทว์ความบาดหมาง
ยิ่งอำนาจบาตรใหญ่เหลือไว้วาง
ด้วยอาจสร้างไฟนรกขึ้นปกคลุม
ถ้าถนอมใจงามได้ยามนั้น
ย่อมสร้างสรรค์วิถีใหม่ใช่เสี่ยงสุ่ม
ถ้าทั้งหมดประสานธรรมนำเกาะกุม
แม้ถูกรุมทำร้ายหมายชีวี
ถ้าทำได้ตายไปโดยไม่แค้น
แต่ยิ่งแน่นในธรรมล้วนโดยถ้วนถี่
ถ้าทำได้เปรียบปานท่านคานธี
บรรทัดฐานใหม่จะมีในสังคม
หลังตามดูจิตใจในอกสั่น
ลมหายใจละเอียดพลันแม้ไม่ข่ม
เห็นตลอดจิตผัสสากับอารมณ์
เสาแห่งพรหมอุเบกขากลับมาแล้ว

จึงลงมือเขียนกลอนตอนคิดตก
ไม่ป้องปกตนอะไรเรื่องใจแผ่ว
ก็มันจริงใจเราหวั่นประจัญแนว
แต่ตอนนี้ออกจากแร้วสิ้นหวาดกลัว
สังคมเคลื่อนอย่างไรเป็นไปเถิด
ดุลดีงามซึ่งก่อเกิดเปิดเห็นทั่ว
เราจะคงรักษาใจไม่มืดมัว
ไม่หวาดกลัวต่อให้ใจใครตายลง
ไม่สัญญาแทนใครในเรื่องนี้
แต่สัญญาในฤดีที่บอกบ่ง
สัญญาเพียงแต่ฉันจะมั่นคง
จะธำรงสันติธรรมประการเดียว

1 มีนาคม 2549

Posted on BlogGang : 02 พฤษภาคม 2552