มหาราหุโลวาทสูตร
มหาราหุโลวาทสูตร
ผู้แต่ง: กัญญา พาณิชย์กุล · กัญญา ลีลาลัย · ฤดี เริงชัย
เป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราหุล คำสอนเริ่มที่การแยกธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ ทั้งภายในและภายนอกตัวเรา
ต่อมาคือ การเจริญภาวนาเสมอด้วยธาตุทั้ง 5 ตามมาด้วย การเจริญภาวนา 6 อย่าง และ การเจริญอานาปานสติ 16 ขั้น
แต่ในที่นี้ ขอคัดเฉพาะที่ทรงตรัสสอน เรื่องการเจริญภาวนาเสมอด้วยธาตุทั้ง 5 โดยคัดจาก พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ มีความดังนี้
"ราหุล เธอจงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยแผ่นดินเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้
คนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลงบนแผ่นดิน แผ่นดินจะอึดอัดระอา หรือรังเกียจของนั้นก็หาไม่
แม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน จงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยแผ่นดิน เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้
เธอจงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยน้ำเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้
คนทั้งหลายล้างของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง น้ำจะอึดอัดระอาหรือรังเกียจของนั้นก็หาไม่ แม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยน้ำ เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้
เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยไฟอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้
ไฟย่อมเผาของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ไฟจะอึดอัดระอา หรือรังเกียจของนั้นก็หาไม่ แม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยไฟ เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยไฟอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้
เธอจงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยลมเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยลมอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้
ลมย่อมพัดของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลมจะอึดอัดระอา หรือรังเกียจของนั้นก็หาไม่ แม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยลม เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยลมอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้
เธอจงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยอากาศเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยอากาศอยู่
ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้
อากาศไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ แม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน จงเจริญภาวนาให้เสมอด้วยอากาศ เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาให้เสมอด้วยอากาศอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักครอบงำจิตของเธอไม่ได้"
พระสูตรนี้บอกเราว่า แท้จริงสรรพสิ่งทั้งหลายรวมถึงตัวเรา ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากธาตุต่างๆ ที่เคลื่อนไหวไปตามเหตุปัจจัย
ชีวิตทุกรูปนามนั้น เป็นของอันเดียวกัน หรือมีชีวิตเดียวกัน มีความรู้สึกแท้ๆ ล้วนๆ ของชีวิตเป็นแบบเดียวกัน เช่นเดียวกับที่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และธาตุอากาศ ที่เป็นแบบเดียวกัน ไม่ว่าอยู่ ภายในกาย หรืออยู่ นอกกาย
สิ่งสมมติว่าเป็นเราหรือเป็นเขา ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกัน แท้จริงจึงไม่มีเรา ไม่มีเขา เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยก ไม่จำเป็นต้องมีเรา มีเขา
การแข่งขั้วอุดมการณ์ เป็นการคิดแบบ นิจจัง หรือ เสถียร (static) ซึ่งการคิดแบบนั้นขัดกับความเป็นจริง ทำให้เกิดความรุนแรงตามมา เพราะแท้จริงแล้ว สรรพสิ่งเป็น อนิจจัง
ส่วนความสามารถในการรับรู้ ของคนเราแต่ละคนนั้นก็จำกัดนัก จึงยากที่จะก้าวข้ามพ้นอัตตาตัวตนของตนเองได้ เมื่อก้าวข้ามไม่ได้ ก็ยากที่จะเห็นความเป็นจริงของสรรพสิ่ง
คนแต่ละคนจึงมีทั้งส่วนดีและไม่ดี มีส่วนที่มองได้ถูกหรือมองไม่ถูก ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเรื่องอะไร เขารับข้อมูลมาจากไหน มีผลประโยชน์ส่วนตัวเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร และขณะจิตนั้นๆ ของเขาเป็นกุศลหรืออกุศล
การแบ่งฝักฝ่ายขั้วค่ายอุดมการณ์ ยังเป็นการดึงคนให้เข้าร่วมมากๆ เพื่อเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งนำไปสู่การเผชิญหน้าและมักปะทะกัน โดยที่แต่ละฝ่ายก็มีทั้งคนดีและไม่ดีเข้าร่วมเหมือนกัน เพราะแต่ละฝ่ายก็ประกอบด้วยคนแต่ละคน ซึ่งมีทั้งส่วนดีและไม่ดีอยู่ในตนเองทั้งสิ้น ขึ้นกับ ตัณหา มานะ และทิฐิ ของใครจะไปทางไหน
อยากให้ผู้คนสนใจพระสูตรนี้ เพราะหวังใจว่า ผู้คนจะมองเห็นความจริงส่วนที่เขาละเลยไปมากขึ้น
หวังใจว่า... แรงบีบคั้นจากการแบ่งขั้วค่ายจะคลายตัว เพราะผู้คนจะตาสว่างมากขึ้น
หวังใจว่า... สังคมสมานัตตา คือสังคมที่ไม่ถือเขาถือเรา จะก่อตัวขึ้นได้บ้าง แม้ในส่วนเล็กๆ แต่ละส่วน
หวังใจว่า... ผู้คนจะรู้จักตนเอง เห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่น ทำให้สามารถรักกันได้มากกว่านี้
ขอให้บุญรักษา และธรรมคุ้มครองโดยถ้วนหน้ากัน
Posted on BlogGang : 16 พฤษภาคม 2555