น้ำค้าง และความเป็นหนึ่งเดียว
น้ำค้าง และความเป็นหนึ่งเดียว
ผู้แต่ง: กัญญา พาณิชย์กุล · กัญญา ลีลาลัย · ฤดี เริงชัย
เมื่อยี่สิบห้าปีก่อน ดิฉันปลูกผักกินเองและแจกจ่ายญาติมิตร
ในพื้นที่เล็กๆ ของบ้านน้อยๆ หลังหนึ่งในชานเมือง
ชีวิตแบบนั้นทำให้ดิฉันนอนแต่หัวค่ำ และตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่ทุกวัน
ชีวิตที่ตื่นตั้งแต่ยังเงียบสงัดจนได้เห็นแสงแรกของดวงตะวันนั้น —
รื่นรมย์มาก
จนวันหนึ่ง... ดิฉันถึงกับลอง “ดื่มน้ำค้าง” ดู
เพราะใบผักกาดที่แผ่อ้าอยู่นั้น มีหยาดน้ำค้างพร่างพราว
น้ำหนักของมันทำให้ใบโน้มตัวลงอย่างอ่อนช้อย
ดูงดงามและสดใสเหลือเกิน
ดิฉันนึกถึงท่อนหนึ่งในบทเพลงว่า
“อย่าเหมือนน้ำค้างพราวพร่างใบพฤกษ์
พอยามดึกเหมือนดังจะดื่มกินได้...”
ก็เลยคิดว่า —
ยามดึกเหมือนจะดื่มกินได้จริงๆ นี่นา
อ้าว... ก็ลองดูสิ!
และก็พบว่า เป็นรสลิ้มอันอิ่มใจ
จนยังจำได้ถึงทุกวันนี้
ครั้งนั้น ดิฉันเขียนกลอนสั้นๆ ไว้บทหนึ่งว่า
ได้พบเห็นน้ำค้างพรมพร่างพฤกษ์
จึงดื่มกินเสียยามดึกก่อนจะรุ่ง
พิสุทธิ์ใสไอกลั่นอันจรุง
ณ ขอบกรุงชานเมืองเรืองอนันต์
ต้องยามดึกจึงอาจดื่มน้ำค้างหยาด
รอรุ่งรางย่อมพลาดน้ำทิพย์นั่น
หยาดน้ำค้างจางหายใต้ตะวัน
แสงสูรย์ปันไอละอองสู่ท้องนภา
เวลาผ่านไป 25 ปี
ชีวิตเปลี่ยน ภารกิจมากขึ้น
กลายเป็นคนนอนดึก — และดึกขึ้นเรื่อยๆ
หลายคืนเข้านอนเอาตอนตีสามตีสี่
ซึ่งเป็นเวลาตื่นในสมัยก่อนนั้นเอง
เมื่อนึกได้ว่า
“เดี๋ยวนี้เรานอนในเวลาที่เคยตื่น”
ก็อดไม่ได้ที่จะออกมาเดินจงกรม
บนทางเดินเล็กๆ ข้างบ้าน
ในความสงัดนั้นเอง
กลอนบาทต่อมาก็เกิดขึ้น —
ห่างจากบทแรกถึง 25 ปี
ณ บัดนี้ความสงัดสกัดกลั่น
ประสบการณ์นับอนันต์พลันแจ่มจ้า
ละอองไอใสเย็นเช่นธรรมา
กลั่นจากการภาวนาดุจน้ำค้าง
แม้ว่าพบน้ำค้างพรมพร่างพฤกษ์
ในยามดึกก็จงดื่มก่อนรุ่งสาง
แม้ว่าพบจิตผ่องใสในหนทาง
จงดื่มรสใสสว่างกลางใจพลัน
แง้มประตูสู่หนไร้ห้วงหาว
ราตรีดาวดับสนิทปิดสวรรค์
ความเป็นไปว่างเปล่าโดยเท่าทัน
สรรพสิ่งเอนกอนันต์...เป็นหนึ่งเดียว
บอกเล่าให้เพื่อนสมาชิกฟัง
เพราะนี่คืออีกหนึ่งความรู้สึกงดงาม
ที่อยาก บันทึกไว้ และ แบ่งปันให้มิตรสหาย
Posted on BlogGang : 02 สิงหาคม 2552