โศกนาฏกรรมในคิมหันตฤดู

โศกนาฏกรรมในคิมหันตฤดู

ผู้แต่ง: กัญญา พาณิชย์กุล · กัญญา ลีลาลัย · ฤดี เริงชัย

โศกนาฏกรรมในคิมหันตฤดู (1)

  1. รอยเลือดแรกของวันที่ 13 มีนาคม ตรึงดิฉันไว้กับสถานการณ์ชุมนุมคนเสื้อแดง

.....ความจริงดิฉันควรไปเข้าอบรมกรรมฐานในช่วง 11-14 มีนาคม แต่มีเหตุให้ไปไม่ได้ จึงกลับกลายเป็นการเฝ้าดูเหตุการณ์การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มนปช.หรือกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งประกาศเคลื่อนพลเข้ากรุงเทพฯ เพื่อให้ “แดงทั้งแผ่นดิน” และกลายเป็นการเกาะติดสถานการณ์นี้ นับจากวันที่ 13 มีนาคม 2553 เป็นต้นมา

.....การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงตระเตรียมกันต่อเนื่องมา หลังจากแผนตากสิน* ในช่วงสงกรานต์ปีที่แล้วล้มเหลว การเคลื่อนทัพรอบใหม่ของคนเสื้อแดงชูธงสันติ อหิงสา และมีการเคลื่อนไหวใหญ่น้อยเป็นระลอกๆ มาก่อนหน้านั้นแล้ว ซึ่งว่าโดยประเด็นการต่อสู้ ต้องยอมรับว่า น่าสนใจมาก เพราะเรียกร้องเรื่องกฎกติกาประชาธิปไตย ว่าด้วยเรื่องการเคารพเสียงส่วนใหญ่ เรื่องความเท่าเทียม เรื่องสองมาตรฐาน เรื่องการต่อต้านรัฐประหาร รวมถึงการเสนอว่าตนเป็นตัวแทนของผู้ยากไร้ ด้วยการแสดงว่าคนเสื้อแดงทั้งหมดเป็น “ไพร่” ที่เข้ามาต่อสู้กับ “อำมาตย์” ที่กดขี่ข่มเหงทั้งสังคมอยู่ และต้องยอมรับเช่นกันว่า การขยายเครือข่ายของคนเสื้อแดง เป็นไปอย่างกว้างขวางในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ด้วยการใช้สื่อหลากหลาย ทั้งพีทีวี สื่ออินเตอร์เน็ต วิทยุชุมชน นิตยสารและหนังสือ ตลอดจนการให้ความรู้และหลอมรวมความคิดผ่านโรงเรียนนปช. ที่คล้ายคลึงกับโรงเรียนผู้นำของพลตรีจำลอง ศรีเมือง หรืออาจจะถึงขั้นเหมือนโรงเรียนการเมืองการทหารของพ.ค.ท. ก็เป็นได้

.....ปฏิบัติกาของคนเสื้อแดงในปีกลาย(เมษายน 2552) เป็นไปด้วยความรุนแรง คนเสื้อแดงปิดถนนสำคัญหลายสาย ปิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ บุกล้มการประชุมอาเซียน และไล่ล่านายกรัฐมนตรี แต่จบลงด้วยการสลายการชุมนุมอย่างละมุนละม่อม ท่ามกลางข่าวลือแพร่สะพัดในกลุ่มคนเสื้อแดง ว่ามีคนตาย ทหารซ่อนศพ รวมถึงมีนำภาพพฤษภา 35 มาตัดต่อว่าเป็นภาพคนตายในเมษายน 53 รวมถึงตัดต่อคลิปเสียงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าสั่งฆ่าประชาชน สื่อเหล่านี้เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต แม้จะมีการพิสูจน์ว่าเป็นหลักฐานเท็จ แต่นปช.ก็ยังคงเผยแพร่ข่าวสารนี้ต่อไป และฝังความเชื่อนี้ไว้ในกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดง ดังนั้น แม้แกนนำจะถูกควบคุมตัว แต่กลุ่มคนเสื้อแดงก็กลับฟื้นชีพมารวมกลุ่มชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวงหรือที่อื่นๆ ซึ่งหลังจากแกนนำนปช.ได้รับประกันตัว การเคลื่อนไหวระลอกใหม่ก็ได้เกิดขึ้นเป็นระลอกอย่างซับซ้อนและรัดกุมขึ้นเรื่อยๆ

.....แม้ว่าโครงสร้างของนปช.จะมีความซับซ้อน และมีบางอย่างที่ไม่ตรงไปตรงมาอยู่ในนั้น แต่ดิฉันก็มองเห็นคุณูปการของกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะการเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ หากสามารถยืนอยู่ในความสงบ สันติ มีเหตุผล แม้จะเสนอความคิดความเชื่อที่แตกต่างออกไป ก็จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวทางการเมือง เกิดการปะทะสังสรรค์ทางความคิด เกิดการปรับเปลี่ยนภายในสังคม และแม้จะมีอะไรเลยเถิดไปบ้าง ก็ควรว่ากันเป็นกรณีๆ ไป เช่นเดียวกับ กรณีของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งประเด็นการต่อสู้นั้นดี ในแง่การเน้นจริยธรรม การตรวจสอบระบบการเมือง แต่ก็มีส่วนที่เลยเถิดและมีประเด็นซ่อนเร้นอยู่ ซึ่ง ณ ขณะนั้น พอเลยเถิด ผู้คนในสังคมก็ออกมาคัดค้าน ติติง ดังนั้นการเคลื่อนไหวของกลุ่มใดๆ ในที่สุดก็ต้องปรับตัวเองให้อยู่ในที่ในทางเสมอ

.....ดิฉันจึงมองกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยสายตาที่ให้โอกาสแบบเดียวกับที่เคยมองคนเสื้อเหลืองเมื่อสามสี่ปีก่อน ดิฉันแอบหวังว่า คนเสื้อแดงจะสรุปบทเรียนได้จากปีกลาย แม้จะมีกระแสข่าวเป็นระยะๆ ว่า กลุ่มนปช.เดินสายสร้างพันธมิตรกับทหาร เพื่อปฏิบัติการชิงอำนาจรัฐกลับคืนโดยอาศัยบางส่วนของกองทัพเป็นตัวผลักดัน

.....ปี 52 มีข่าวสารออกจากกลุ่มเสื้อแดงเป็นระยะๆ แต่ดิฉันไม่ได้สนใจติดตามมากนัก เพราะเชื่อในพื้นฐานสังคมไทยซึ่งเป็นสังคมพุทธ มีความประนีประนอมสูง ดิฉันรู้สึกว่า กระแสสังคมไทยนั้นได้เคลื่อนมาถึงจุดที่ ผู้คนในสังคมไม่ปรารถนาความรุนแรง ดังนั้น ทุกฝ่ายจึงต้องใช้สันติวิธีในการต่อสู้ทางการเมือง การตกลง กดดัน ต่อรองใดๆ จะต้องใช้การเคลื่อนไหวแบบสันติวิธี และต้องจูงใจผู้คนให้เห็นด้วยกับฝ่ายตน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง จะมุ่งก่อความเดือดร้อนให้คนอื่น ดังที่เคยเกิดขึ้นในเดือนเมษายนปีก่อน และถ้าคนเสื้อแดงเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่จริง มีมวลชนจำนวนมหาศาลเห็นด้วยจริง รัฐบาลก็ควรหลีกทางให้กับพรรคการเมืองของคนเสื้อแดง โดยกระบวนการอย่างใดอย่างหนึ่ง
.....ด้วยความคิดดังกล่าว บางคนจึงคิดว่า ดิฉันเอียงข้างคนเสื้อแดง แต่พอดิฉันแสดงความเห็นอีกด้านหนึ่ง ที่เห็นว่า หากเรามองปัญหาอย่างไม่ตัดตอน ต้องยอมรับว่าระบอบทักษิณ สร้างปัญหามหาศาลให้การเมืองและสังคมไทย เขาก็จะเห็นว่าดิฉันเป็นคนเสื้อเหลือง ซึ่งไม่ใช่ทั้งนั้น ดิฉันไม่ใช่ทั้งเหลืองและไม่ใช่ทั้งแดง หากเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ ที่อาจสูงวัยสักหน่อยจนผ่านโลกมาพอสมควร และเห็นว่า เสื้อก็เป็นแค่เสื้อ แต่เนื้อใน คือ ผู้ใส่เสื้อสีแต่ละคน แต่ละฝ่าย ล้วนเป็นเพื่อนมนุษย์ ซึ่ง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
.....ดังนั้น เกือบปีมานี้ ดิฉันจึงไม่ได้สนใจการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงมากนัก เมื่อนปช.เตรียมเคลื่อนไหวใหญ่มาตั้งแต่ปลายปี 2552 และทำท่าจะกดดันศาลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2526 จนมาลงตัวเอาที่การประกาศชุมนุมใหญ่โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 อย่างมากดิฉันก็เปิดทีวีเอาไว้ หากมีข่าวสารอะไรจะได้พอรู้เรื่องราวคร่าวๆ หนังสือพิมพ์ก็อ่านบ้าง ส่วนใหญ่อ่านพาดหัวข่าวสำคัญ และบทบรรณาธิการ
.....แต่ภาพที่ดิฉันเห็นจากข่าวทีวีในวันที่ 13 มีนาคม ได้กลายเป็นภาพติดตา เป็นภาพของชายคนหนึ่งในเสื้อสีชมพู กำลังถูกชกต่อยโดยคนเสื้อแดงที่ถือโทรโข่ง ชายคนนั้นล้มลงไปอยู่ข้างรถบัส ในช่องที่แคบๆ ระหว่างตัวรถบัสกับรั้วปูนกั้นกลางถนน ชายสื้อแดงกำลังใช้โทรโข่งทุบซ้ำๆ ลงไปบนใบหน้าชายคนนั้น ในขณะที่ชายคนนั้นยกเท้าขึ้นยัน ตามข่าวบอกว่า เหตุเกิดที่ปทุมธานี เมื่อขบวนของคนเสื้อแดงทำให้รถติดขนาดหนัก และชายคนนี้จึงลงจากรถไปต่อว่า แกนนำที่อยู่บนรถก็ลงจากรถ ตามมาด้วยการวิวาท เสียงที่ดังในข่าวคือ เสียงที่คนตะโกนเรียก “ตำรวจ ตำรวจ” เหมือนไม่มีใครกล้าพอจะเข้าช่วยเหลือ กว่าตำรวจจะเข้ามาช่วยแยกคนทั้งสองออกจากกัน ชายเสื้อสีชมพูก็มีเลือดไหลจากศรีษะอาบหน้าลงมา
.....ดิฉันรู้สึกหดหู่บอกไม่ถูก พยายามบอกตนเองว่า นี่เป็นการกระทำของพวกฮาร์ดคอร์ในหมู่เสื้อแดง ไม่ใช่พฤติกรรมของคนเสื้อแดงทั้งหมด แต่มันก็ทำให้ดิฉันอดนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปีกลายไม่ได้ และทำให้ดิฉันหันมาติดตามการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในรอบนี้อย่างใกล้ชิด นับจากวันนั้นเป็นต้นมา
.....ดิฉันมักไปหาข่าวสารในห้องราชดำเนิน เวปพันทิป ซึ่งคนเสื้อแดงมักพูดกันว่า กลุ่มเสื้อแดงข้ามพ้นทักษิณแล้ว จะก้าวสู่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริงแล้ว และต่อไปนี้จะต่อสู้อย่างสงบ สันติ และอหิงสาแล้ว นักวิชาการและคอลัมนิสต์จำนวนหนึ่งก็ออกมาพูดแบบนี้เช่นกัน แต่...“โห...เพียงแค่เคลื่อนขบวนก็เอาแล้วหรือ” ดิฉันรำพึง
.....ความที่ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องคนเสื้อแดงมาหลายเดือนแล้ว จึงยังไม่รู้จะคิดอะไรต่อ ความที่เคยมีสายสัมพันธ์เก่าแก่กับคนจำนวนไม่น้อยในกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะเป็นคนที่ผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 , 6 ตุลาคม 2519, มาก่อน จึงรู้ว่าภายในกลุ่มคนเสื้อแดงมีสายสัมพันธ์ที่ซับซ้อน หลากหลาย เพียงแต่มารวมกันเพื่อขับเคลื่อนในหลากหลายประเด็น ซึ่งการวางตนแบบถอยห่าง ทำให้ดิฉันไม่รู้อะไร ไม่อาจฟันธงอะไรได้ จึงได้แต่ทำใจให้นิ่ง เผื่อใจให้มากๆ เฝ้าติดตามดูไปเรื่อยๆ เท่านั้น และคาดหวังว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะไม่ซ้ำรอยเหตุการณ์เมษาอาละวาด ในปี 2552 (ยังมีต่อ)
..............
หมายเหตุ แผนตากสิน* เป็นแผนการรบแบบ “ทุบหม้อข้าว ตีเมืองจันท์” ตามแบบการรบของพระยาตาก แผนนี้ถูกเปิดเผยโดยฝ่ายรัฐบาล และเป็นข่าวตั้งแต่ก่อนการเคลื่อนไหวของนปช.ในเดือนเมษายน 2552 ซึ่งแกนนำนปช.รวมถึง พตท.ทักษิณ ชินวัตรได้ออกมาปฏิเสธแผนเหล่านี้ ซึ่งแผนตากสินนี้ มติชนออนไลน์ วันที่ 25 มี.ค. 2552 ได้มีการนำแผนตากสิน มาเปรียบเทียบ กับยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย
หลังจากนั้น มีข่าวว่า นปช.มีการสรุปบทเรียนเป็นแผนตากสิน 2 กำหนด 7 ยุทธศาสตร์ 6 ยุทธวิธี เป็นข่าวในช่วงมิ.ย.52 ซึ่งดิฉันยังหารายละเอียดเกี่ยวกับแผนตากสิน 2 ไม่ได้

Posted on BlogGang : 21 พฤษภาคม 2553