ระลึกคุณหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ระลึกคุณหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ผู้แต่ง: กัญญา พาณิชย์กุล · กัญญา ลีลาลัย · ฤดี เริงชัย


วันนี้ เดิมทีดิฉันไม่ได้ตั้งใจจะเข้าเว็บไซต์พันทิป
แต่ขณะจัดหนังสืออยู่ กลับหยิบหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกดู

หน้าหนึ่งในนั้นเล่าถึงประวัติ วัดสวนแก้ว ว่า...

เดิมชื่อวัดแก้ว เป็นวัดร้างมา 80 ปี
ภายหลังหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ และพระภิกษุอีก 3–4 รูป ได้เข้ามาพำนัก
ต่อมาในปี พ.ศ. 2522 หลวงพ่อเทียนได้มอบให้
พระพยอม กัลยาโณ และเพื่อนภิกษุเป็นผู้ดูแลรักษาวัดต่อไป
ส่วนหลวงพ่อเทียนเดินทางกลับจังหวัดเลย

ชื่อของ หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ
ลอยเด่นขึ้นมาทันทีในมโนสำนึกของดิฉัน

เพราะเคยตั้งใจไว้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
เมื่อครั้งตั้งกระทู้ “ระลึกคุณท่านอาจารย์พุทธทาส”
ว่า ถึงเดือนกันยายน จะขอตั้งกระทู้ระลึกคุณหลวงพ่อเทียน


ดิฉันเคยได้รับอานิสงส์จากการปฏิบัติตามคำสอนของท่าน
แม้ไม่เคยไปกราบท่านด้วยตนเองสักครั้ง
แต่ก็ยังสำนึกในคุณอยู่เสมอ

หลวงพ่อเทียนเป็นหนึ่งในครูบาอาจารย์
ที่ดิฉันวางไว้เหนือเศียรเหนือเกล้า


เหลือบดูปฏิทิน วันนี้ตรงกับวันที่ 13 กันยายน 2552
เมื่อ 21 ปีก่อน (พ.ศ. 2531)
คือวันที่หลวงพ่อเทียนละสังขาร
ณ สถานปฏิบัติธรรม “ทับมิ่งขวัญ” จังหวัดเลย


การรู้จักหลวงพ่อเทียน

ดิฉันรู้จักหลวงพ่อเทียนจากงานของ ท่านเขมานันทะ
ตั้งแต่สมัยที่ท่านเขมานันทะยังครองผ้าเหลืองอยู่
และเริ่มอ่านงานของหลวงพ่อเทียนราวปี พ.ศ. 2525

ได้อ่านไปพร้อมกับงานของ พระอาจารย์คำเขียน สุวัณโณ
รู้สึกชอบ แต่ยังไม่คิดนำมาปฏิบัติ
ขณะนั้นจริตของดิฉันถูกกับ อานาปานสติ ของท่านพุทธทาสมากกว่า


ปี พ.ศ. 2526 เพื่อนคนหนึ่งของดิฉันบวชในสายของหลวงพ่อเทียน
เพื่อนคนนั้นคือ พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ในปัจจุบัน
บวชที่วัดทองนพคุณ แล้วไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดสนามใน

ดิฉันยังคงอ่านงานของหลวงพ่อเทียนด้วยความสนใจ
คำของท่านง่าย ตรง และจริง
อ่านแล้วชอบใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจนัก
เพราะดิฉันยังติดอยู่ใน “โลกของความคิด”


การปฏิบัติจริงที่เปลี่ยนชีวิต

หลังปี พ.ศ. 2540 ดิฉันพบวิกฤตชีวิตหนักมาก
เรียกว่า “โรคซ้ำกรรมซัด” — ใจแตกซ่าน รวมสมาธิไม่ได้
แม้เจริญอานาปานสติ ก็ไม่อาจรวมใจ

จนทดลอง “สร้างจังหวะเคลื่อนไหว” ตามวิธีของหลวงพ่อเทียน
ปรากฏว่า สมาธิเกิดขึ้นได้เร็ว
จึงเริ่มนำมาใช้ร่วมกับการเดินจงกรม

ท่านสอนให้ “สร้างจังหวะ” เพื่อให้มีสติ
รู้การเคลื่อนไหวหรือหยุดของกาย เรียกว่า รู้กาย
จากนั้นให้ใช้สติตามดูความคิด เรียกว่า เห็นใจ


เมื่อทำเช่นนั้น ดิฉันได้ “เห็นตัวความโกรธ” ของตนเอง
เห็นในลักษณะที่กระแสความคิดกับตัวสติ “พุ่งเข้าชนกัน” อย่างแรง
และนั่นคือจุดเปลี่ยนของชีวิต

แม้ไม่ถึงขั้นบรรลุธรรม แต่ชีวิตดิฉันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
จิตใจเบาสบายขึ้นมาก
นิสัยเปลี่ยนจากคนใจร้อนเป็นคนใจเย็น
สุขภาพดีขึ้น โรคภัยคลายไปเอง


ความศรัทธาที่งอกงาม

ความอัศจรรย์ในธรรมของพระพุทธเจ้า
ปลูกศรัทธาให้ดิฉันอย่างลึกซึ้ง
ทำให้ตั้งมั่นใน เบญจศีล–เบญจธรรม
และเห็นคุณค่าของ ไตรสิกขา โดยเฉพาะ ภาวนา

จากเดิมที่เพียง “อยากรู้ อยากเห็น อยากทดลอง”
ดิฉันกลับกลายเป็นผู้ “สมาทานพุทธ” อย่างแท้จริง
นำคำสอนมาใช้ในชีวิตประจำวัน

ดังนี้แล้ว ดิฉันจะไม่วางหลวงพ่อเทียนไว้เหนือเศียรเกล้าได้อย่างไร


อุเบกขาธรรม – หัวใจของการภาวนา

สองสามเดือนมานี้ ดิฉันให้ความสนใจเรื่อง อุเบกขาธรรม เป็นพิเศษ
เพราะรู้ว่าตนยังขาดคุณธรรมข้อนี้

และเชื่อว่า หลวงพ่อเทียนสามารถ “สอนธรรมะอย่างลัดสั้น” ได้
เพราะท่าน ตัดตรงมาที่อุเบกขาธรรม

การ “เผชิญหน้ากับปรากฏการณ์” ทางกายและใจ
ต้องใช้ความนิ่ง สติ และอุเบกขาอย่างยิ่ง
เมื่อกายนิ่ง ใจน้อมรู้เฉยๆ ได้
สติจึงตามทันจิต — ทันเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

หลวงพ่อเทียนไม่พูดคำว่า “อุเบกขาธรรม” บ่อยนัก
แต่เมื่อทำตามคำสอนของท่าน จะพบว่า
ต้องใช้ “อุเบกขาธรรม” อย่างสูงสุดจริงๆ


คำของท่านพุทธทาสก็คล้ายกันว่า

จะออกไปนอกโลกต้องฝ่าไฟ
จะพ้นทุกข์ต้องไปเหนือสิ่งคู่
จะพ้นตายต้องพรากจากตัวกู
เผากิเลสต้องอยู่ใจกลางไฟ

เผากิเลส ต้องอยู่ใน ใจกลางไฟ — อยู่ในอุเบกขาธรรม
ไม่ถอย ไม่สู้ ไม่อยู่ และไม่หนี


ดิฉันรู้สึกว่า ธรรมะของหลวงพ่อเทียน
สอดคล้องกับ “ความประเสริฐสุด 4 สถาน”
ของ ท่านญาณโปนิกมหาเถระ โดยเฉพาะข้อ “อุเบกขาธรรม”
จึงขอน้อมนำคำสอนนั้นขึ้นมาบูชาคุณหลวงพ่อเทียนในที่นี้


ขอส่งเมตตาจิตยังสรรพสัตว์
และความปรารถนาดีมายังเพื่อนผู้ร่วมทางธรรมทุกท่าน
ขอให้บุญรักษา และเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป


หมายเหตุ:
ข้อเขียนนี้ตั้งกระทู้ไว้เมื่อเย็นวันที่ 13 กันยายน 2552
และนำขึ้นบล็อกในวันที่ 15 กันยายน 2552 โดยไม่ได้เรียบเรียงใหม่

Posted on BlogGang : 15 กันยายน 2552