ท่านอาจารย์พุทธทาสและท่านอาจารย์กรุณา
ผู้แต่ง: กัญญา พาณิชย์กุล · กัญญา ลีลาลัย · ฤดี เริงชัย
เพราะคิดถึงท่านอาจารย์พุทธทาส พลอยทำให้
ระลึกปราชญ์อีกท่านอันเป็นน้องชายโดยธรรม
ของท่านอาจารย์พุทธทาส — คือ ท่านอาจารย์กรุณา กุศลาสัย
ประมาณสิบปีก่อน ดิฉันไปหาท่านอาจารย์กรุณา
และท่านอาจารย์เรืองอุไร คู่ชีวิตของท่านอยู่เนืองๆ
หลังจากจดหมายและโทรศัพท์แลกเปลี่ยนกันมา
ประมาณ 3 ปี
ครั้งหนึ่งที่ไปหาท่าน ดิฉันได้ถามท่านเกี่ยวกับ
ช่วงชีวิตสามเณร เพราะครั้งนั้นเรื่องราวของท่าน
ลือลั่นเหลือเกิน — ด้วยท่านเป็นสามเณรน้อย อายุเพียง 13 ปี
แต่ได้เดินเท้าไปอินเดีย โดยติดตามคณะพระโลกนาถ
พระชาวอิตาเลียนไป เพื่ออบรมเป็นธรรมทูตเผยแผ่ศาสนา
ตอนที่คุยกับท่านอาจารย์กรุณานั้น
ท่านอาจารย์พุทธทาสมรณภาพแล้ว
และมีหนังสือ “พุทธทาสรำลึก – ลิขิตท่านพุทธทาสถึงน้องชายโดยธรรม กรุณา กุศลาสัย”
ตีพิมพ์ออกมา จึงเป็นโอกาสให้ดิฉันถามท่านได้
ท่านเล่าความที่ท่านไปเกี่ยวพันกับท่านอาจารย์พุทธทาสให้ฟังว่า —
ตอนท่านเดินเท้าไปอินเดียนั้น คือปี พ.ศ. 2476
ท่านอาจารย์พุทธทาสกำลังก่อตั้งคณะธรรมทาน
และเริ่มออกหนังสือ “พุทธสาสนา” ราย 3 เดือน
ท่านเองยังไม่ได้รู้จักกับท่านอาจารย์พุทธทาสแต่อย่างใด
หลังจากท่านไปถึงอินเดีย ได้เรียนภาษา ได้ศึกษาธรรมะมากขึ้น
จึงส่งบทความหรือผลงานแปลต่างๆ มาที่หนังสือ “พุทธสาสนา”
ท่านอาจารย์พุทธทาสได้ตรวจแก้และตีพิมพ์เนืองๆ
ทำให้ท่านมีกำลังใจมาก ต่อมาท่านอาจารย์พุทธทาส
ยังได้เขียนจดหมายถึงท่าน พร้อมกับส่ง “พุทธประวัติจากพระโอษฐ์”
มาให้สามเณรกรุณาอีกด้วย พร้อมข้อความที่เป็นกำลังใจอย่างลึกซึ้ง
ท่านเล่าให้ฟังว่า ช่วงเวลาที่ท่านอยู่ในอินเดีย
จดหมายจากท่านอาจารย์พุทธทาสได้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของท่านไว้
ท่านว่า —
“ผมเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อไม่มีแม่
ท่านอาจารย์เมตตาต่อผมมากเหลือเกิน
ท่านให้ตั้งศึกษาเล่าเรียน ให้หลักคิด
ท่านแสดงความเลื่อมใส ชื่นชม
ท่านให้กำลังใจผมมากเหลือเกิน...”
ถึงตรงนี้ดิฉันจำได้ดีว่า น้ำตาท่านคลอเบ้า
เสียงเริ่มเครือ ก่อนจะค่อยๆ ปรับเข้าสู่ภาวะปกติ
ขณะนั้น ท่านอาจารย์พุทธทาสอายุ 28 ปี
ยังไม่ได้ใช้ชื่อ “พุทธทาส” ยังเป็น พระเงื่อม อินทปัญโญ
ส่วนสามเณรกรุณา อายุเพียง 14 ปี
“ติดต่อกันอยู่หลายปีนี่คะ เป็นจดหมายจากท่านพุทธทาสตั้ง 15 ฉบับ
อาจารย์เป็นกำลังสำคัญเลยนะคะในการซื้อหาหนังสือพุทธศาสนาในอินเดีย
ส่งไปให้ท่านพุทธทาสน่ะค่ะ”
ท่านอาจารย์กรุณาแจ่มใสขึ้นทันที
“ผมส่งนิตยสารของสมาคมมหาโพธิ ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษไปให้ท่านประจำ
ในนั้นจะมีโฆษณาหนังสือต่างๆ ท่านดูโฆษณาแล้วฝากผมซื้อให้
อย่างหนังสือเกี่ยวกับมหายาน ผมก็จัดส่งถวายท่านเป็นประจำ
พูดแล้วผมก็ปลื้มใจนะ ที่ได้ทำประโยชน์ให้ท่าน”
ดิฉันถามต่อ —
“แล้วทำไมการติดต่อระหว่างท่านอาจารย์พุทธทาสกับตัวอาจารย์ถึงยุติลงล่ะคะ?”
สีหน้าท่านอาจารย์กรุณาสลดลงทันที
“สงครามโลกครั้งที่สองน่ะสิ ตอนนั้นอินเดียยังเป็นของอังกฤษ
ส่วนไทยตกลงเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับฝ่ายอังกฤษ
ผมก็ถูกรัฐบาลอังกฤษจับเป็นเชลยไปด้วย เพราะเป็นคนไทย
ต้องสึกจากสามเณร ไปเป็นเชลยศึกแทน
ถูกจับพร้อมกับคนไทยอีกหลายคนในอินเดีย
ต้องทำงานโยธาในค่ายเชลย — ลำบากมากเหลือเกินในตอนนั้น”
ท่านเล่าต่อว่า —
“เมื่อถูกจับเป็นเชลย เขาก็ค้นข้าวของทั้งหมดที่เรามีติดตัวไป
หนังสือบางอย่างเขาก็ยึดเอาไว้ มาถึงจดหมายของท่านพุทธทาส
เขาก็จะยึดไว้เหมือนกัน ผมก็ขอร้องเขา อ้อนวอนขอร้องเขาดีๆ
บอกเขาว่า เป็นจดหมายของอาจารย์ผม ท่านเป็นพระ ไม่ยุ่งการเมือง
ผมรับรองด้วยเกียรติของผม
ในที่สุดนายทหารอังกฤษก็ยอมให้ผมเก็บไว้
ผมรักมากนะจดหมายของท่านพุทธทาส รักมากเหลือเกิน — รักเท่าชีวิตทีเดียว”
เมื่อสงครามสิ้นสุด ท่านอาจารย์กรุณาถูกส่งตัวกลับเมืองไทย
ท่านเล่าว่า —
“ท่านส่งหนังสือไทยไปให้ผมหลายเล่ม แต่ผมเอากลับไม่ได้
หนังสือดีๆ เยอะแยะที่ผมเอามาไม่ได้
บันทึกของผมเองที่เขียนถึงชีวิตช่วงเป็นเชลยศึก
ที่ต้องถึงกับกินเนื้อหมา เนื้อแมว เอามาไม่ได้เลย
เขาไม่ให้เอาออกมา ส่วนจดหมายของท่านพุทธทาสน่ะ
ผมขอร้องเขาดีๆ จนเขามีเมตตาให้ผมเอากลับมาได้”
ดิฉันถามต่อ —
“พอกลับเมืองไทย ได้ไปกราบท่านอาจารย์พุทธทาสไหมคะ เพราะยังไม่เคยพบตัวกันเลย?”
ตอนนี้เองที่ดิฉันเห็นน้ำตาของท่านอาจารย์กรุณาไหลพราก
ออกมาไม่ขาดสาย ดิฉันเองก็อึ้งไป จนครู่ใหญ่
ท่านเช็ดน้ำตา แล้วจึงเล่าต่อว่า —
“ชีวิตตอนนั้นลำบากมากเหลือเกิน
กลับมาไม่มีเงินติดตัวสักแดง ตอนไปก็ไม่มี
แต่ยังมีศรัทธา
สงครามมันโหดร้ายเหลือเกิน
ชีวิตขาดจากเพศสมณะ เหมือนรถไฟตกราง
กลับมาต้องหาทางทำมาหากินตัวเป็นเกลียว
จนมีครอบครัว
คิดถึงท่านเหลือเกิน แต่ไม่กล้าไปหา
รู้สึกผิด รู้สึกว่าเราคืนสู่เพศต่ำเสียแล้ว
เป็นฆราวาสแล้ว ไม่กล้าไปตีสนิทกับท่าน
จะไปเรียกท่าน ‘หลวงพี่’ เหมือนเดิมก็ไม่กล้าแล้ว”
ดิฉันถามต่ออีก —
“แล้วได้มาพบกับท่านเมื่อไรล่ะคะ เห็นมีรูปอาจารย์ตอนเป็นฆราวาสถ่ายกับท่านด้วย?”
“ตอนท่านจะไปอินเดีย ตอนนั้นผมทำงานสถานทูตอินเดีย
ท่านกับคณะมาสถานทูต มาขอวีซ่า ผมก็ได้ไปกราบท่าน
ผมปลื้มปีติมาก ดีใจเหลือเกิน ได้พบท่าน
ได้กราบท่านเป็นครั้งแรก
ท่านก็ยังเมตตาผม แต่ผมเป็นฆราวาสแล้ว มีลูกมีเมียแล้ว
ท่านเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ผมจึงไม่กล้าตีสนิทกับท่านมาก
แต่ผมก็ยังเคารพรักท่านมากเหมือนเดิม
มันอยู่ในใจ ผมยืนหยัดสู้ชีวิตได้ทุกวันนี้
เพราะผมมีพระเงื่อม อินทปัญโญ ให้ความเมตตาใส่ใจ
ท่านมีพระคุณกับผมมาก”
การสนทนาครั้งนั้น ท่านอาจารย์เรืองอุไร กุศลาสัย ภรรยาของท่าน
ร่วมสนทนาอยู่ด้วย ท่านคอยเสริมและปลอบโยน
เมื่ออาจารย์กรุณาอยู่ในอารมณ์สะเทือนใจว่า —
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าพูดเรื่องนี้เขาก็จะสะเทือนใจอย่างนี้
เขารักท่านอาจารย์พุทธทาสมาก”
การสนทนาในครั้งนั้นผ่านมา 10 ปีแล้ว
แต่ดิฉันยังจดจำได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ดิฉันเองเคารพรักท่านอาจารย์กรุณา–เรืองอุไร กุศลาสัยเต็มหัวใจเช่นกัน
รู้สึกเสมอว่า คนอย่างท่านทั้งสองนี้ นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่งในสังคม
แต่กระนั้น ดิฉันก็ยังรู้สึกว่า
ความเคารพรักที่ดิฉันมีต่อท่านอาจารย์ทั้งสอง
และต่อท่านอาจารย์พุทธทาส — ยังน้อยนัก
เมื่อเทียบกับความรักเคารพที่ท่านอาจารย์กรุณามีต่อท่านอาจารย์พุทธทาส
วันนี้ 27 พฤษภาคม
วันระลึกคล้ายชาตะกาลท่านอาจารย์พุทธทาส
จึงนำประสบการณ์นี้มาร่วมรำลึกค่ะ
Posted on BlogGang : 27 พฤษภาคม 2552