ท่านโพธิธรรม-ปรมาจารย์ตั๊กม้อ

ท่านโพธิธรรม-ปรมาจารย์ตั๊กม้อ

ผู้แต่ง: กัญญา พาณิชย์กุล · กัญญา ลีลาลัย · ฤดี เริงชัย

"ตั๊กม้อ" คือภาษาจีนเมื่อใช้ออกเสียงแทนคำว่า "ธรรมะ"

ปรมาจารย์ตั๊กม้อแห่งวัดเส้าหลินในภาพยนตร์จีนกำลังภายใน ก็คือท่านโพธิธรรม คำว่า โพธิธรรมะ จีนออกเสียงว่า พ่อที้ตั๊กม้อ ท่านโพธิธรรมะนี้เป็นผู้ที่นำเอานิกายฌานไปเผยแพร่ในจีน ชาวจีนจึงเรียกว่า ตั๊กม้อโจ้วซือ ซึ่งแปลว่า ปรมาจารย์ตั๊กม้อ

ท่านโพธิรรม เกิดราวพ.ศ.1013 เป็นเจ้าชายอาณาจักรกาญจีบรัม ในอินเดียใต้ เบื่อหน่ายทางโลกเพราะพระเชษฐาแย่งกันราชบัลลังก์กัน จึงออกบวช
เมื่อบวชแล้วท่านได้เป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ 28 ต่อจากพระสังฆราชปรัชญาตาระเถระ

ตามการเล่าขานของนิกายฌานเล่าว่าอาจารย์ของท่านคือพระสังฆราชปรัชญาตาระเถระ ได้สั่งเสียเอาไว้ว่า ภายภาคหน้าบ้านเมืองจะมีภัยเกิดสงครามใหญ่ ให้ท่านเดินทางจาริกมาประเทศจีนเพื่อเผยแผ่พุทธธรรม
ท่านจึงจาริกจากอินเดียใต้ ถึงประเทศจีนในสมัยพระเจ้าเหลียงบู๊ตี่(ประมาณพ.ศ.1067)

ท่านได้เข้าเฝ้าพระเจ้าเหลียงบู๊ตี่ เหลี่ยงบู๊ตี่ฮ่องเต้ตรัสถามท่านเรื่องอานิสงค์จากการสร้างโบสถ์วิหารจำนวนมากของพระองค์ ว่าจะได้อะไร ท่านโพธิธรรม ตอบว่า "ไม่ได้อะไร" เมื่อตรัสถามต่อว่า หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร ท่านโพธิธรรม ตอบว่า "ไม่มีอะไร" ตรัสถามต่อว่า ตัวท่านพระโพธิธรรมที่มาอยู่ตรงหน้าพระองค์ในเวลานี้ คืออะไร ท่านโพธิธรรมตอบว่า "ไม่มีอะไรเหมือนกัน"

จากนั้นท่านโพธิธรรมะจึงเดินทางมาพำนักที่วัดเส้าหลิน ปรับปรุงพระธรรมวินัยในวัดเส้าหลิน เผยแผ่นิกายฌาน บำเพ็ญภาวนาอย่างเคร่งครัด ท่านได้สอนการทำจิตใจให้ผ่องใส โคจรลมปราณ ควบคู่กับการออกกำลังกายเพื่อเอาชนะความหนาวเย็นและสร้างพลานามัย ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นศิลปการต่อสู้และป้องกันตัวแบบวัดเส้าหลิน

วัตรปฏิบัติของท่านโพธิธรรมนั้น ท่านเคร่งครัดและพูดน้อยมาก หลังจากปรับปรุงพระธรรมวินัยของวัดเส้าหลิน อบรมสั่งสอนพระลูกวัดจนมีผู้สืบทอดการสอนธรรมต่อไปได้แล้ว ท่านจึงได้นั่งสมาธิเข้าฌานอยู่ถึง 9 ปี โดยหันหน้าเข้าฝาผนังถ้ำโดยตลอด

ท่านโพธิธรรมเคยกล่าวโศลกไว้ว่า

"ฉันเดิมมาถึงแผ่นดินนี้
ถ่ายทอดธรรมช่วยผู้หลงงมงายอารมณ์
หนึ่ง-ดอกไม้บานครบ 5 กลีบแล้ว
ผลที่สุดธรรมชาติจะปรากฎขึ้นมาเอง"

ท่านสอนว่า

"ธรรมชาติแท้ของ จิต นั้น ถ้าเข้าใจซึมซาบแล้ว
คำพูดของมนุษย์ ไม่สามารถหว่านล้อม หรือเปิดเผยมันได้
ความตรัสรู้ คือความไม่มีอะไรให้ใครต้องลุถึง
และผู้ซึ่งได้ตรัสรู้ ก็ไม่พูด ว่าเขารู้อะไร"

ท่านโพธิธรรม ถือเป็นสังฆปรินายกองค์ที่ 28 และเป็นองค์สุดท้ายของนิกายฌานในอินเดียแต่ถือเป็นสังฆปรินายกองค์แรกของนิกายฌานในประเทศจีนตำแหน่งสังฆปรินายกนี้ได้สืบต่อมาตามลำดับ

จนถึงปลายสมัยราชวงศ์ถัง เกิดวิกฤตการณ์พุทธศาสนา มีการทำลายวัด เผาคัมภีร์ ฆ่าพระและชีจำนวนมาก พุทธศาสนานิกยายที่มีแบบแผนพิธีกรรมถูกกำจัด ชาวพุทธหันมาหานิกายฌานมากขึ้น วัดนิกายฌานจึงขยายตัว แต่วัดที่มีบทบาทในการฝึกเคลื่อนไหวร่างกายและพัฒนาไปสู่การฝึกหมัดมวยเพื่อป้องกันตัวคือวัดเส้าหลิน

ตอนที่แยกออกมาเป็นเส้าหลินใต้นั้น เป็นสมัยของท่านเว่ยหล่าง สังฆปรินายกองค์ที่ 6 ของนิกายฌานในจีน ท่านได้รับมอบบาตรและจีวรจากพระอาจารย์ฮ่งยิ้มไต้ซือ สังฆปรินายกองค์ที่ 5 หลังจากท่านเขียนโศลก แก้
โศลกที่พระภิกษุซิ้งซิ่ว เขียนไว้ว่า

"กายเหมือนต้นโพธิ์
จิต เหมือน กระจกเงาใสบนแท่น
ทุก ๆ เวลาต้องหมั่นปัดเช็ด
อย่าใช้ยั่วเย้า(ก่อ)ฝุ่นละออง"
(สำนวนแปลของท่านธีรทาส)

ความจริงท่านเว่ยหล่าง อ่านหนังสือไม่ออก แต่ให้เด็กวัดช่วยอ่านให้ท่านฟัง เมื่อท่านได้ฟังแล้วจึงอาศัยเด็กวัดช่วยเขียนโศลกแทนท่าน ความว่า

"โพธิ์ เดิม ไม่มีต้นไม้
กระจกเงาใส ก็มิใช่แท่น
เดิมมาไม่มีแม้แต่หนึ่งสิ่ง
ที่ไหนจะยั่วเย้า(ก่อ)ฝุ่นละออง?"
(สำนวนแปลของท่านธีรทาส)

เมื่ออาจารย์ฮ่งยิ้มไต้ซือมาเห็นเข้า สอบถามจากเด็กวัด จึงรู้ว่าท่านเว่ยหล่างบรรลุธรรมแล้ว ท่านจึงได้มอบบาตรและจีวรให้ ซึ่งหมายถึงให้สืบทอดตำแหน่งสังฆปรินายก แต่ขณะนั้นท่านเว่ยหล่างยังเป็นเพียงคนป่าคนดงที่เข้ามาอาศัยขอศึกษาธรรมอยู่ในวัด อาจารย์ฮ่งยิ้มไต้ซือจึงสั่งเสียให้เดินทางไปหลบซ่อนตัวในทางใต้ก่อนที่จะเผยแผ่พระธรรมในเวลาที่เหมาะสม ท่านเว่ยหล่างจึงจาริกลงไปทางใต้ หลายปีต่อมาท่านจึงบวช เผยแพร่พระธรรม และได้ตั้งวัดเส้าหลินขึ้นที่ภาคใต้

ส่วนวัดเส้าหลินเหนือ ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาส คือพระภิกษุซิ้งซิ่ว ผู้เขียนโศลก "กาย คือ ต้นโพธิ์" เรื่องของท่านเว่ยหล่างเกิดขึ้นในปลายสมัยราชวงศ์ถังตรงกับช่วงที่บูเช็คเทียนเรืองอำนาจ จนถึงขึ้นครองราชบัลลังก์สถาปนาเป็นจักรพรรดินีบูเช็คเทียน

พระนางบูเช็คเทียนให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนาอย่างมาก ให้ความยกย่องทั้งท่านซิ้งซิ่ว(ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า ราชครูชินเชาเพราะท่านเป็นราชครูสอนธรรมะพระนางบูเช็คเทียน)และท่านเว่ยหล่าง รวมถึงพระนางได้อุปถัมภ์ให้พระสมณะอี้จิงเดินไปทางอินเดียตามรอยพระถังซัมจั๋งอีกด้วย

จากการที่วัดเส้าหลินสัดทัดในเรื่องการทำโยคะ การโคจรลมปราณ และการฝึกการเคลื่อนไหวต่างๆ จนกลายเป็นการฝึกหมัดมวยเพื่อการป้องกันตัวในแบบฉบับของวัดเส้าหลินนี้ ต่อมานำไปสู่เหตุการณ์ที่ทำให้วัดเส้าหลินได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองเรื่องกู้ชาติในปลายสมัยราชวงศ์ซ้อง

ปลายสมัยราชวงศ์ซ้อง ศิษย์วัดเส้าหลินได้มีบทบาทสนับสนุนการต่อสู้ป้องกันการรุกรานของมองโกลที่นำโดยเจงกีสข่าน ต่อมาเมื่อมองโกลสามารถยึดครองจีน ก่อตั้งราชวงศ์หยวน ราชวงศ์หยวนจึงหันไปสนับสนุนพุทธศาสนานิกายตันตระของธิเบตแทน วัดเส้าหลินถูกปราบปราม ลดบทบาทลง แต่เนื่องจากวัดเส้าหลินมีสาขาในที่ต่างๆ บทบาทในการเป็นวัดที่ถ่ายทอดการฝึกเพลงมวยป้องกันตนเองควบคู่กับการเผยแพร่นิกายฌานจึงยังคงดำรงอยู่

ปรมาจารย์ตั๊กม้อแห่งวัดเส้าหลิน เป็นพระเถระผู้ใหญ่ในพระพุทธศาสนาจากอินเดียใต้ที่มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่นิกายฌาน ซึ่งต่อมานิกายฌานนี้ได้แพร่หลายไปยังประเทศญี่ปุ่น ซึ่งออกเสียงเรียกคำว่า ฌาน ว่า เซน เราจึงมักเรียนนิกายนี้ว่า นิกายเซน ตามเสียงญี่ปุ่น

นิกายฌานหรือเซน ปัจจุบันได้รับความสนใจไปทั่วโลก

Posted on BlogGang : 17 สิงหาคม 2552