ที่มาของบทสวดสรรเสริญพระรัตนตรัย

ที่มาของบทสวดสรรเสริญพระรัตนตรัย

ผู้แต่ง: กัญญา พาณิชย์กุล · กัญญา ลีลาลัย · ฤดี เริงชัย

เวลาเราสวด อิติปิโส ภะคะวา อะระหังสัมมาสัมพุทโธ....
ไปจนถึง สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม....
กระทั่งไปจบลงที่ สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวกสังโฆ....
เรารู้กันบ้างหรือไม่ว่า เรากำลังสรรเสริญพระรัตนตรัย
ด้วยถ้อยคำเดียวกันทุกประการ
กับที่ชาวพุทธในครั้งพุทธกาลได้สวดสรรเสริญ

ดิฉันเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ไม่นานนัก
จากการสืบค้นที่มาของบทสวดมนต์
พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ และสังฆานุสสติ
ว่ามีแทรกอยู่ในพระไตรปิฎก
มากกว่าบทสวดมนต์บทอื่นๆ ทั้งหมด
คือปรากฎอยู่ถึง 15 เล่ม
ยิ่งค้น ดิฉันก็ยิ่งเห็นว่า
พระรัตนตรัยล้วนถูกย่อรวมไว้ในนั้น

  1. พุทธานุสสติ

ตามที่ดิฉันสืบค้น
บทสรรเสริญพุทธคุณเกิดขึ้นก่อน
เริ่มแรกเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้นั้น
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในชมพูทวีป
คำสรรเสริญเริ่มเกิดขึ้นเมื่อสาธุชนได้รับผลจากพุทธคุณ
ทั้งจากพระกรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ
เริ่มจากการเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์
โปรดท่านยสะและหมู่คณะ
ส่งพระอรหันตสาวกทั้ง 60 รูป
ไปเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอน
และแม้พระองค์เองก็เสด็จมายังตำบลอุรุเวลา
เพื่อโปรดชฎิลสามพี่น้อง

ในช่วงแรกนี้แรกนี้
คำว่า “อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา”
เกิดขึ้นในหมู่พระสาวกรุ่นแรก
โดยเมื่อพระพุทธองค์ตัดสินใจเดินทางไปแสดงธรรม
แก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ ปรากฎในพระไตรปิฏกเล่มที่ 4
เป็นพระวินัยปิฏก ปัญจวัคคีย์กถา

แต่คำว่า “สัมมาสัมพุทโธ” ที่ว่า
เป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองนั้น
พระพุทธองค์ทรงตรัสเอง กับอุปกาชีวกะ
ว่าพระองค์ตรัสรู้เองไม่มีอาจารย์
อุปกะไม่เข้าใจ เนื่องจากไม่ใช่สิ่งเกิดง่ายในโลก
อีกทั้งคำว่า “ไม่มีอาจารย์”
ของพระพุทธองค์ยังทรงหมายถึง
ไม่มีอาจารย์ในระดับโลกุตรธรรม
อุปกะไม่รู้จักโลกุตรธรรม
และขณะนั้นยังไม่สนใจฟังธรรมของพระพุทธองค์
จึงโคลงศีรษะแล้วเดินสวนหลีกไป

พระพุทธองค์ทรงประกาศตนว่า
เป็น “อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ” อีกครั้ง
เมื่อเสด็จถึงป่าอสิปตนมฤคทายวัน
ตรัสบอกปัญจวัคคีย์ว่า
“ตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยชอบ”
เริ่มแรกปัญจวัคคีย์ก็ไม่เชื่อว่า
พระองค์บรรลุโลกุตรธรรมแล้ว
แม้ทรงประกาศถึง 3 ครั้ง

จนพระพุทธองค์ต้องตรัสถามว่า
พระองค์เคยตรัสเช่นนี้มาก่อนหรือไม่ว่า
ด้วยอำนาจของความมีศีลมีสัตย์
ที่พระองค์ปฏิบัติเป็นวัตรมาก่อน
ปัญจวัคคีย์จึงเอะใจ เริ่มหันมาฟังพระองค์
การแสดงธรรมจักกัปปวัตนสูตร
จึงเกิดขึ้นครั้งแรกในโลก

เมื่อปัญจวัคคีย์ฟังธรรม
และค่อยๆ ทยอยเข้าสู่กระแสธรรม
ทยอยกันบรรลุพระโสดาบันแล้ว
พระพุทธองค์จึงแสดงธรรม อนัตตลักขณสูตร
ปัญจวัคคีย์แต่ละคน บรรลุอรหันต์ตามลำดับกัน

เมื่อถึงตรงนี้
คำว่า “อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา” จึงเกิดขึ้น
โดยเหล่าพระอรหันตสาวกปัญจวัคคีย์
คำว่า “ภะคะวา”เป็นคำสรรเสริญที่พระสาวกมีต่อพระองค์

“อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ”
เป็นถ้อยคำจากพระโอษฐ์
แต่คำว่า “อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ”
เป็นถ้อยคำสรรเสริญจากอรหันตสาวกและสาธุชน
ซึ่งหลังจากพระพุทธองค์เสด็จมายังตำบลอุรุเวลาแล้ว
ระหว่างทางผ่านป่า
ได้พบและโปรดสหายภัททวัคคีย์ 30 คน
ทั้งหมดได้ธรรมจักษุและขอบวช
ดังปรากฏในภัททวัคคิยกถา

จากนั้นเมื่อเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลา
โปรดชฎิลสามพี่น้อง
ถึงตอนนี้คำว่า
“วิชชาจะระณะสัมปันโณ”
จะปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นในสังคมชมพูทวีป

ตามที่ดิฉันเคยอ่านเกี่ยวกับอารยธรรมอินเดียมา
คำว่าชฎิล มาจากคำว่าชฎา
เพราะชฎิลเป็นนักบวชในวรรณะพราหมณ์
เกล้าผมสูงเป็นรูปชฎา จึงเรียกกันว่า ชฎิล
พวกชฎิลนี้บูชาไฟตามคติความเชื่อแบบพราหมณ์ที่ว่า
ไฟเป็นของบริสุทธิ์และเป็นสื่อกลางให้เข้าถึงพรหมได้
เป็นผู้แสวงธรรมตามแบบศาสนาพราหมณ์
ซึ่งศาสนาพราหมณ์นี้
เป็นรากเหง้าของศาสนาฮินดูอีกทีหนึ่ง

ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 4 อุรุเวลปาฏิหาริยกถา
อาทิตตปริยายสูตร

พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม ต่อชฎิลสามพี่น้อง
ชฎิลเหล่านี้บูชาไฟมาก่อน
พระพุทธองค์จึงทรงเปรียบเทียบ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายใน)
ว่าเป็นของร้อน เมื่อกระทบ
รูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส ธรรมารมณ์
(อายตนะภายนอก)ซึ่งเป็นของร้อนเช่นกัน
ทำให้วิญญาน ผัสสะ และเวทนา
ที่เกิดขึ้นร้อนตามไปด้วย

แต่ทั้งหมดนี้เป็นการร้อนเพราะไฟ
ซึ่งก็คือ ราคะ โทสะ และโมหะ
และร้อนเพราะไฟ
ซึ่งก็คือความเกิด ความแก่ ความตาย
ความโศก ความคร่ำครวญ
ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และความคับแค้นใจ

พระพุทธองค์สรุปให้ชฎิลทั้งหลายฟังว่า
อริยสาวกเมื่อเห็นและเกิดความเข้าใจเช่นนั้น
ย่อมเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด
เมื่อคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นก็มีญานรู้ว่าพ้นแล้ว
ได้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว

ชฎิลทั้งหมดน้อมใจตาม
โดยที่เป็นผู้แสวงธรรม มีกิเลสน้อยอยู่แล้ว
ทั้งหมดจึงเห็นธรรม
จิตใจหลุดจากกิเลสตัณหาทั้งปวง
ต่างบรรลุอรหัตตผล

ก่อนบรรลุธรรมและหลังบรรลุธรรม
ของชฏิลสามพี่น้องและบริวาร
ความเข้าใจต่อ “วิชชาจาระณะสัมปันโณ”
คงมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่ไม่น้อย
เพราะการเห็นว่า
พระพุทธองค์ทรงมีวิชชา
และจรณะอันยอดเยี่ยมในช่วงขอบวช
เป็นการเห็นจากภายนอก

แต่การเห็นวิชชาและจรณะ
ของพระพุทธองค์ในช่วงฟังพระธรรมเทศนา
ตลอดจนถึงเมื่อน้อมเอาธรรมเหล่านั้น
ไปพิจารณาและปฏิบัติ
ก็สามารถบรรลุโลกุตรธรรมได้จริง
เป็นการเห็นจากภายใน

เหตุการณ์ต่อมา
ปรากฎในพระไตรปิฎกเล่มที่ 4 เช่นกัน
คือใน พิมพิสารสมาคมกถา

พระพุทธองค์ทรงนำภิกษุผู้เคยเป็นชฎิลทั้งพันรูป
ไปสู่กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
เป็นคณะนักบวชขบวนใหญ่
ที่เคลื่อนเข้าสู่เมืองพร้อมด้วยเสียงร่ำลือ
ถึงกิตติศัพท์ของพระพุทธองค์ว่า

“แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ
เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดี รู้แจ้งโลก
เป็นสารถีผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค”

ถ้อยคำสรรเสริญพระพุทธองค์ในเครื่องหมายคำพูดนี้

เมื่อแปลกลับมาเป็นภาษาบาลีก็คือ

อิติปิ โส ภะคะวา
แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ

วิชชาจะระณะสัมปันโน
เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ

สุคะโต
เสด็จไปดี

โลกะวิทู
รู้แจ้งโลก

อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
เป็นสารถีผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม

สัตถา เทวะมะนุสสานัง
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

พุทโธ ภะคะวาติ
เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค

คำสวดสรรเสริญเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้
ถ้าไม่มีผู้บรรลุธรรมจำนวนมาก
บรรลุธรรมตามรอยพระพุทธองค์
ซึ่งในบทสวด ธัมมานุสสติ
ก็ได้สรุปสิ่งที่เป็นแก่นแท้เอาไว้

  1. ธัมมานุสสติ

ในครั้งพุทธกาลนั้น เป็นช่วงกลียุค
ผู้คนตกอยู่ในห้วงทุกข์
ดูเหมือนทั่วทั้งชมพูทวีปกำลังรอคอย
พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
ทั้งในหมู่กลุ่มคนที่ดูแลสังคมคือพวกกษัตริย์
ทั้งในหมู่พวกผู้รู้คือพวกพราหมณ์
ทั้งในหมู่พวกผู้แสวงธรรม คือพวกฤาษีดาบสต่างๆ
ตลอดจนถึงพวกผู้ครองเรือนทั่วๆ ไป
ทั้งที่เป็นเศรษฐี คหบดี นายช่างวิชาชีพ พ่อค้า ชาวนา
จนถึงยาจกเข็ญใจ
แม้ในกลุ่มที่เป็นเทวดาในชั้นต่างๆ
จนถึงพรหมในชั้นต่างๆ ในช่วงเวลานั้น
ต่างรอคอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในเวลานั้น
มีเจ้าลัทธิมากมายประกาว่าบรรลุธรรมสูงสุด
เป็นพระอรหันต์

แต่มีเพียงพระพุทธองค์เท่านั้นที่ประกาศว่า
ตนเป็น “พระพุทธเจ้า”
และเป็น “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”
คือเป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์โดยชอบ

โลกุตรธรรมที่พระองค์ตรัสรู้
เช่น อริยสัจจ์ ปฏิจจสมุปบาท
เป็นธรรมที่ทรงยืนยันว่า
ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ใดมาก่อน
คำว่า “สัมมาสัมพุธโธ”
จึงเป็นถ้อยคำที่ดึงดูดผู้คนจากทุกสารทิศ
ให้เข้ามาทดสอบพระองค์

ซึ่งเมื่อผู้คนได้ฟังธรรม
น้อมนำธรรมนั้นมาปฏิบัติ
ได้รับผลจากการปฏิบัติ
ก็กลายเป็นสิ่งยืนยันที่ทรงพลังที่สุด
เกิดกลายเป็นกระแสคลื่นของสังคมชมพูทวีป
ที่ยอมรับนับถือว่า
พระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้
เว้นก็เพียงแต่บางสำนักลัทธิคู่แข่งเท่านั้น

การสรรเสริญพุทธคุณเกิดในแคว้นมคธ
พบในพระไตรปิฎกเล่มที่ 10
มหาวรรค มหาโควินทสูตร

เล่าเรื่องปัญจสิขะ คันธรรพบุตร
ซึ่งเป็นเทพบุตรองค์หนึ่งในพวกคนธรรพ์
ได้ลงมากราบทูลพระพุทธองค์ว่า

เมื่อวันอุโบสถ 15 ค่ำ
ได้มีการประชุมของเทพชั้นดาวดึงส์
มีท้าวสักกะเป็นประธาน
ท้าวสักกะทรงอนุโมทนาพวกเทพ
ซึ่งเคยประพฤติพรหมจรรย์
กับพระพุทธองค์ว่า
มีความรุ่งเรืองเหนือเทพอื่นๆ
และได้ตรัสสรรเสริญพระคุณ
ของพระพุทธองค์ 8 ประการ
ตามที่พระองค์พบเห็นมา

โดยพระคุณข้อหนึ่งในแปดข้อนั้นคือ

“พระธรรมเป็นธรรมที่
พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว
ผู้ปฎิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง
ไม่ประกอบด้วยกาล
ควรเรียกให้มาดู
ควรน้อมเข้ามาในตน
อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

เราไม่เคยเห็นพระศาสดา
ผู้ประกอบด้วยองค์คุณแม้เช่นนี้
ผู้ทรงแสดงธรรม
ที่ควรน้อมเข้ามาอย่างนี้ในอดีตกาลเลย
ถึงในบัดนี้เราก็ไม่เห็น (ใครอื่น)
นอกจากพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น”

ข้อความนี้โดยเฉพาะในส่วนแรก
ตรงกับบทสวดมนต์ธัมมานุสสติ
แบบคำต่อคำ คือ

สะวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม
พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว

สันทิฎฐิโก
ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง

อะกาลิโก
ไม่ประกอบด้วยกาล(ไม่ขึ้นกับกาลเวลา)

เอหิปัสสิโก
ควรเรียกให้เข้ามาดู

โอปะนะยิโก
ควรน้อมเข้ามาในตน

ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ
อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

เพียงเก้าเดือนนับแต่ตรัสรู้
คือในเพ็ญเดือนหก
จนกระทั่งเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสาม
มีผู้บรรลุธรรมตามพระพุทธองค์มากมาย
เฉพาะพระอรหันต์ถึง 1,250 รูปที่ทรงบวช
โดยคำอนุญาตง่ายๆ "เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด"
ได้มาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์โดยมิได้นัดหมาย

หลังจากนั้นเสียงเล่าลือ
สรรเสริญพุทธคุณและพุทธธรรม
ของพระองค์ก็ยิ่งเป็นที่โจทย์ขานไปทั่ว
ทำให้กุลบุตรเมืองมคธพากันออกบวช
จนชาวเมืองมคธตกใจว่า
ต่อไปชายจะไม่มีบุตร
หญิงจะเป็นหม้าย ตระกูลจะขาดสูญ
จึงชวนกันประณามพุทธศาสนาอยู่พักหนึ่ง
จนเมื่อเข้าใจว่า
พุทธธรรมนั้นเป็นสัจธรรม
การต่อต้านจึงยุติลง

เสียงสรรเสริญพุทธคุณ
“อิติปิ โส ภะคะวา
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ...”
ดังแผ่กังวานจากแคว้นหนึ่ง
ไปสู่อีกแคว้นหนึ่ง
ผู้คนจากทุกสารทิศ
พากันเดินทางรอนแรมมา
เพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน

พวกสำนักพราหมณ์
ที่เป็นครูบาอาจารย์ผู้แสวงธรรม
ต่างอยากพบและฟังธรรม
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว พวกเขาตื่นเต้น
แต่ยังไม่กล้าเดินทางมาด้วยตนเอง
เพราะยังขาดความมั่นใจ
ก็พากันส่งลูกศิษย์มาดูว่า
พระพุทธองค์มีลักษณะของมหาบุรุษ
ครบ 32 ประการหรือไม่
เพราะเชื่อกันว่าหากครบถ้วน
บุคคลในลักษณะนี้
หากบวชจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทั้งได้ให้ศิษย์มาติดตามดู
วัตรปฏิบัติของพระพุทธองค์
รวมถึงให้มาถามปัญหาต่างๆ
จนมั่นใจว่าเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ
จึงพากันมาเฝ้าด้วยตนเอง

ยังมีนักบวชและฆราวาสของศาสนาอื่นๆ
มาเข้าเฝ้าเพื่อโต้ปัญหาธรรมหวังเอาชนะ
แต่ส่วนใหญ่มักเปลี่ยนใจ
หันกลับมานับถือพุทธศาสนาแทน
ทำให้เกิดเสียงเล่าลือในหมู่ศาสนาคู่แข่งว่า
“พระสมณะโคดมมีมายากลับใจคนได้”

ไม่เพียงในแคว้นมคธ
อิทธิพลของพุทธศาสนายังแผ่ไปถึงแคว้นอังคะ
ที่อยู่ติดด้านทิศตะวันออกของแคว้นมคธด้วย

ทันทีที่ประกาศธรรม
กิตติศัพท์ของพระพุทธองค์
เลื่องลือไปถึงกรุงกบิลพัสดุ
พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดา
ซึ่งเฝ้ารอข่าวคราวของพระราชโอรส
จึงส่งทูตมาทูลเชิญ
ให้เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุถึง 10 ครั้ง
แต่ละครั้งส่งอำมาตย์เป็นทูต
มาพร้อมบริวาร 1,000 คน
ซึ่งใน 9 ครั้งแรกนั้น
คนทั้งหมดที่ส่งมาพากันบวชกับพระพุทธองค์หมด

ครั้งสุดท้ายจึงส่งอำมาตย์กาฬุทายี
มาพร้อมบริวาร 1,000 คน
โดยพระเจ้าสุทโธทนะขอให้รับปากว่า
แม้บวชก็ให้นิมนต์พระพุทธองค์มาให้ได้
ความข้อนี้ปรากฎในพระไตรปิฎก
ฉบับที่ 33 รตนจังกมนกัณฑ์

บรรยายว่า
พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์
พร้อมสาวก 20,000 รูป
โดยเป็นพระภิกษุชาวกบิลพัสดุ์ 10,000 รูป
ที่เดิมพระเจ้าสุทโธทนะส่งมาเป็นทูตนิมนต์
เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์
และพระภิกษุชาวมคธ 5,000 รูป
อีก 5,000 เป็นพระภิกษุชาวอังคะ

พระภิกษุจำนวนมหาศาล
ที่ตามเสด็จพระพุทธองค์
ไปแคว้นสักกะ ผ่านแคว้นวัชชี
แคว้นมัลละ และแคว้นโกศล
เป็นขบวนธรรมยาตราขนาดใหญ่
ที่สามารถขยายผลการเผยแผ่
พุทธธรรมได้เป็นอย่างดี
การเสด็จแคว้นสักกะในครั้งแรกนี้
พระพุทธองค์ทรงนำพาพระอนุชา
คือเจ้าชายนันทะให้ได้บวช
และทรงโปรดบวชให้เจ้าชายราหุลด้วย

ดิฉันเห็นว่าเหตุการณ์เช่นนี้
เกิดขึ้นในสังคมใดก็ตาม
ย่อมสั่นสะเทือนสังคมนั้นๆ ไปทุกหย่อมย่าน
โดยเฉพาะในที่ชุมชนหนาแน่น
ข่าวสารไปถึงเร็ว
หรือในหมู่ผู้แสวงธรรม
ซึ่งแม้ปลีกเร้นกายอยู่วิเวก
แต่เต็มไปด้วยความสนใจ
สดับตรับฟังข่าวสารทางธรรม
เพราะเกิดความตื่นตัวทั่วไปหมด
เกิดบรรยากาศทางสังคม
เป็นความอยากเห็นพระพุทธองค์
อยากฟังธรรมของพระพุทธองค์
ถ้าไม่ได้เห็นพระพุทธองค์
หากได้รับการถ่ายทอดธรรม
ของพระพุทธองค์
ผ่านพระภิกษุสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ก็ยังดี

ซึ่งอนุปุพพิกถาก็ตาม อริยสัจสี่ก็ตาม
ปฏิจจสมุปบาทก็ตาม
ล้วนถูกขมวดไว้ในบทสรรเสริญพระธรรม
ซึ่งผู้ปฏิบัติตามตามรอยพระองค์แต่ละคน
จะรับรู้ได้ด้วยตนเองตามภูมิธรรมแต่ละคน
ตามความแก่กล้าของอินทรีย์แต่ละคน

อันสรุปได้ว่า

สะวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม
พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว

สันทิฎฐิโก
ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง

อะกาลิโก
ไม่ประกอบด้วยกาล(ไม่ขึ้นกับกาลเวลา)

เอหิปัสสิโก
ควรเรียกให้เข้ามาดู

โอปะนะยิโก
ควรน้อมเข้ามาในตน

ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ
อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

  1. สังฆานุสสติ

การสวดสรรเสริญพระสังฆคุณ
เป็นบทสวดมนต์ที่ติดตามมาภายหลัง
เมื่อมีพระอรหันตสาวกมากขึ้นตามลำดับ
ท่านเหล่านี้เป็นพระอรหันต์จึงมีความสำรวมสงบ
แสดงคุณธรรมต่างๆ
ในอันที่จะเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวของชาวโลก

คำสวดมนต์ส่วนที่สาม สังฆานุสสติ
จึงค่อยๆ เติมเต็มครบความหมายขึ้นมา
เรื่องนี้ปรากฎในพระไตรปิฎกเล่มที่ 14
เป็นพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย
อนุปทวรรค อานาปาณัสสติสูตร

พระสูตรนี้เกิดขึ้น ณ ที่โล่งแจ้ง
ท่ามกลางแสงจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ บุพพาราม
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมท่าม
กลางพระภิกษุทั้งหลาย
ทั้งพระเถระที่มีชื่อเสียงและพระภิกษุผู้บวชใหม่
ทรงตรวจดูพระสงฆ์ซึ่งนิ่งเงียบสำรวมทั้งองค์ประชุม
แล้วจึงตรัสชมเชยว่า

“ภิกษุสงฆ์เช่นนี้ควรแก่ของที่เขานำมาถวาย
ควรแก่การต้อนรับ
ควรแก่ทักษิณาทาน
ควรแก่การทำอัญชลี
เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก”

เพราะภิกษุสงฆ์เหล่านี้บ้างก็เป็นพระอริยสงฆ์
ส่วนที่ยังไม่บรรลุธรรม
ก็ล้วนเป็นกัลยาณปุถุชนกำลังบำเพ็ญเพียรทั้งสิ้น

หลังจากนั้นจึงทรงแสดงธรรม
อานาปานสติ 16 ขั้น
สติปัฏฐาน 4
และโพชฌงค์ 7 ตามลำดับ

ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 16 สังยุตนิกาย
คหปติวรรค ปัญจเวรภยสูตร
พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรม
ต่ออนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า เวรภัย 5 ประการ
จากการละเมิดเบญจศีลของอริยสาวกไม่มีแล้ว
เพราะประกอบด้วย
องค์ธรรมแห่งโสดาปัตติผล 4 ประการ
แล้วตรัสอธิบายถึง ญายธรรม ว่า
คือการที่อริยสาวกมนสิการปฏิจจสมุปบาท

โดยอาศัยการรับรองของพระพุทธองค์
เกี่ยวกับองค์ธรรม 4 ประการ
ในการบรรลุโสดาบัน
พระมหาโมคคัลลานะ
เคยแสดงฤทธิ์ขึ้นไปบนเทวโลกชั้นดาวดึงส์
เพื่อสนทนาธรรมกับท้าวสักกะ
สรรเสริญการถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
ถึงพระธรรมเป็นสรณะ
และถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ
โดยพรรณนาละเอียดครบถ้วนเริ่มจาก
“อิติปิ โส ภะคะวา..” จนครบองค์รัตนตรัย

ซึ่งท้าวสักกะได้รับรองภาษิตของท่าน
ปรากฏในสักกสูตร โมคคัลลานสังยุต
ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 18 พระสุตตันตปิฎก
สังยุตนิกาย สฬายตนวรรค

การสนทนาธรรมระหว่างพระโมคคัลลานะ
กับท้าวสักกะในพระสูตรนั้น
เป็นการรับรองกลับไปกลับมาหลายครั้ง
จากนั้นจึงสรุปร่วมกันว่า
การถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
เป็นเหตุให้ได้ทิพยสมบัติ 10 ประการ
คือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์
ความเป็นใหญ่ทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์
กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ และโผฏฐัพพะทิพย์

ดิฉันเองสมัยก่อนเคยขาดความเลื่อมใส
ในพระสงฆ์ เวลาสวดมนต์จะน้อมใจให้กับ
พระพุทธ จะซาบซึ้งกับพระธรรม
ส่วนพระสงฆ์นั้น ในส่วนสังฆานุสสติ
ก็สวดๆ ไปเช่นนั้นเอง
ทำให้สวดได้ไม่แม่นยำ
มักจำลำดับสลับกัน
ระหว่าง อุชุปฏิปันโน ญายะปฏิปันโน
และ สามีจิปฏิปันโน อยู่เสมอ

จนวันหนึ่งรู้สึกรำคาญตนเอง
จึงนั่งค้นคำแปลบทสวดมนต์นี้
คำว่า สุปฏิปันโน นั้นรู้อยู่แล้วว่า
หมายถึง ปฏิบัติดี
เมื่อค้นไป จึงได้รู้ว่า
อุชุปฏิปันโน หมายถึงปฏิบัติตรง
คือตรงตามทางอริยมรรคมีองค์แปด
ตรงตามรอยพระพุทธองค์
คือ โพธิปักขิยธรรม 37
และตรงตามพระธรรมวินัย
รู้ดังนี้ก็ตอบตนเองได้ว่า
ถ้าพระภิกษุรูปใดท่านปฏิบัติได้ตรงแบบนี้
ท่านจะบรรลุธรรมหรือยัง
เราก็ย่อมไหว้ท่านได้หมดหัวใจ

ต่อมาจึงพยายามทำความเข้าใจคำว่า
ญายะปฏิปันโน
ที่หนังสือสวดมนต์แปลว่า
ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์
ตอนแรกไม่เข้าใจ
ต่อมาเมื่อรู้ว่า ญายธรรม
คือ ปฏิจจสมุปบาท คืออริยสัจ 4
ก็เข้าใจแจ่มชัด ว่าอะไรเป็นอะไร

กล่าวคือ พระสงฆ์ที่เราสวดมนต์สรรเสริญนั้น
เราสวดสรรเสริญพระสุปฏิปันโน
คือปฏิบัติดีก่อน เมื่อเป็นพระสุปฏิปันโนแล้ว
ท่านก็จะเป็นพระอุชุปฏิปันโน คือปฏิบัติตรง
เมื่อเป็นอุชุปฏิปันโนแล้ว
จึงเป็น ญายะปฏิปันโนได้
เป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องกันไปเช่นนั้น
ซึ่งถ้าท่านมีการปฏิบัติดังกล่าว
คำว่า สามีจิปฏิปันโนก็ไม่ต้องเป็นที่สงสัยอีกต่อไป
เพราะท่านย่อมเป็นพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
ไม่เป็นสาวกของเทพเจ้าหรือผู้มีอิทธิฤทธิ์อื่นใด
เรากราบไหว้บูชาพระสงฆ์เช่นนี้

ยิ่งข้อความที่ว่า
“ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ
อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา”
ที่แปลว่า คู่แห่งบุรุษ 4 คู่
นับเรียงตัวบุรุษได้ 8 บุรุษ

นั่นก็คืออริยบุคคลทั้งสี่ลำดับ
คือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์
แยกเป็น 8 คือ
โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล
อนาคามีมรรค อนาคามีผล
อรหัตตมรรค และอรหัตตผล

ทั้งหมดนี้ทำให้ดิฉันพึมพำออกมาว่า
“สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ”
จากนั้นก็ไม่เคยหวั่นไหวอีกเลย
ดิฉันจะสวดมนต์ทั้งหมด
ด้วยความนอบน้อมสม่ำเสมอ
และด้วยความเข้าใจว่า
บทสวดมนต์สรรเสริญพระรัตนตรัยนี้
คือคำแทนใจทั้งหมดที่พุทธบริษัท
มีต่อพระผู้มีพระภาค
มีต่อพระธรรมทั้งปวง
ที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว
และพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
ผู้ซึ่งกำลังกำลังบำเพ็ญเพียรก็ตาม
ซึ่งจบกิจแล้วก็ตาม
ผู้ซื่งได้สืบทอดพระธรรมคำสั่งสอน
มายาวนานกว่า 2,500 ปี
จนพระธรรมนี้มาถึงเรา

ดังนั้น ทุกครั้งที่เรากำลังสวดมนต์นี้อยู่
เราก็ได้กำลังกล่าวคำสรรเสริญ
ด้วยถ้อยคำเดียวกันกับพุทธบริษัททั้งหลาย
ในครั้งพุทธกาลนั่นเอง

Posted on BlogGang : 26 กรกฎาคม 2552