ประวัติศาสตร์ของ Bot Trade: จาก DOT สู่ LLM
ภาษาอื่น / Other language: English · ไทย
สัปดาห์นี้เรามาเล่าแนวการเงินแทนค่ะ จากโปรเจคส่วนตัว ที่จะทำ AI portfolio manager วันนี้เลยขอร้อยเรียงเรื่องราวบอกกล่าวความหลังอ่านกันสนุกๆ นะคะ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของเทคโนโลยี แต่ยังเป็นวิวัฒนาการของความคิดทางการเงินด้วยค่ะ
🔹 จุดเริ่มต้น: เมื่อเครื่องจักรเริ่มส่งคำสั่งแทนมนุษย์ (1970s–1980s)
ปี 1976 ตลาดหุ้นนิวยอร์กเริ่มใช้ระบบที่ชื่อว่า DOT หรือ Designated Order Turnaround system
ในยุคแรกเริ่มนี้มันเป็นเพียงเครื่องส่งคำสั่งอัตโนมัติที่ช่วยให้คำสั่งซื้อขายเดินทางไปถึงพนักงานในห้องค้าได้เร็วขึ้น จากเดิมที่ต้องใช้เวลาเป็นนาทีก็เหลือเพียงไม่กี่วินาที เหมือนเปลี่ยนจากการส่งแฟกซ์มาเป็นการส่งอีเมล
เมื่อเห็นว่าคอมพิวเตอร์สามารถทำงานตามคำสั่งได้แม่นยำ จึงเริ่มมีความคิดว่าทำไมไม่ให้มันตัดสินใจเองด้วยเสียเลย
ความคิดนั้นกลายเป็นจุดกำเนิดของ Program Trading หรือระบบเทรดตามสูตร เราสามารถตั้งเงื่อนไขง่ายๆ เช่น ถ้าราคาหุ้นร่วงเกิน 5% ให้ขายล่วงหน้าในตลาด futures เพื่อป้องกันความเสี่ยง
แนวคิดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากโมเดล Black-Scholes ที่ตีพิมพ์ในปี 1973 และกำลังปฏิวัติวงการ derivatives trading ในเวลานั้น (โมเดลนี้ทำให้ Myron Scholes และ Robert Merton ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1997 สำหรับการพัฒนาต่อยอด ส่วน Fischer Black เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นในปี 1995)
Black-Scholes เป็นสูตรที่ใช้คำนวณราคาของ option แบบมีเหตุมีผลทางคณิตศาสตร์เป็นครั้งแรกในโลก เพราะสามารถเชื่อมโยงตัวแปรสำคัญห้าตัวเข้าด้วยกัน ได้แก่:
- ราคาปัจจุบันของสินทรัพย์ (Current Price)
- ราคาใช้สิทธิ์ในสัญญา (Strike Price)
- ระยะเวลาที่เหลือก่อนหมดอายุสัญญา (Time to Maturity)
- อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate)
- ความผันผวนของราคา (Volatility)
สมการนี้จะคำนวณ “มูลค่าที่เหมาะสมของ option” ตามหลักเหตุผลของตลาดในขณะนั้น พูดให้เห็นภาพง่ายๆ คือ มันเหมือนเครื่องคิดเลขทางการเงินที่คำนวณว่า “ถ้าราคาหุ้นเป็นแบบนี้ ดอกเบี้ยเป็นแบบนี้ และความผันผวนเท่านี้ option ควรจะมีมูลค่ากี่บาท”
ตอนนั้นนักลงทุนตื่นเต้นมาก เพราะมันทำให้ความเสี่ยงดูเหมือนเป็นสิ่งที่คำนวณได้ และนั่นเองที่ทำให้เกิดแนวคิดว่า ⭐️ถ้าเราสามารถป้องกันความเสี่ยงของ option ได้ เราก็น่าจะป้องกันความเสี่ยงของทั้งพอร์ตได้เหมือนกัน ⭐️
ในปี 1984 NYSE อัปเกรดเป็น SuperDOT รองรับออเดอร์จำนวนมากและกลายเป็นช่องทางหลักของตลาด
แต่โลกการเงินไม่เคยปรานีใครนานนักค่ะ
วันที่ 19 ตุลาคม 1987 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Black Monday เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น
ระบบที่ออกแบบมาป้องกันความเสี่ยงของแต่ละกองทุนกลับกลายเป็นความเสี่ยงระดับระบบ เพราะเมื่อทุกคนใช้กลยุทธ์เดียวกัน (ขาย futures เมื่อตลาดลง) การกระทำพร้อมกันจึงสร้าง feedback loop ที่ทำให้ตลาดพังเร็วกว่าที่มนุษย์จะหยุดได้ทัน
กลไกที่เกิดขึ้นเป็นแบบนี้ค่ะ:
- ตลาดเริ่มลง → กองทุนทั้งหมดขาย futures เพื่อ hedge พอร์ต
- Futures ราคาตก → Arbitrageurs ขายหุ้นตาม
- ตลาดหุ้นตกต่อ → กองทุนอื่นต้อง hedge เพิ่ม
- วนซ้ำจนเกิด death spiral
ทั้งนี้ เหตุการณ์ Black Monday มีหลายปัจจัยประกอบกันค่ะ ระบบ portfolio insurance และ program trading เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่เร่งให้ความผันผวนปะทุขึ้น แต่ฉากหลังยังมีเรื่องความกังวลด้านมูลค่าหุ้น ดอกเบี้ยขาขึ้น ดุลการค้าที่ตึงตัว และบรรยากาศจิตวิทยาตลาดที่เปราะบางร่วมอยู่ด้วย
ตลาดหุ้นทั่วโลกจึงร่วงลงอย่างรุนแรง เป็นวันที่เราได้เห็นว่าเครื่องที่ออกแบบมาให้ฉลาดกลับกลายเป็นอันตรายได้ เมื่อทุกคนใช้ความฉลาดเดียวกันพร้อมกันโดยไม่มีใครหยุด
🔹 เมื่อเครื่องเริ่มเข้าใจภาษา “ตลาด” (1990s)
หลังเหตุการณ์ Black Monday ทุกคนเริ่มทบทวนว่าเราควรเชื่อเครื่องมากแค่ไหน แต่เทคโนโลยีก็ยังเดินหน้าต่อไป
เข้าสู่ทศวรรษ 1990 ตลาดเริ่มเปลี่ยนจากเสียงตะโกนเป็นเสียงคลิกเมาส์ ระบบ ECN (เช่น Instinet ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 1969 แต่มาบูมในทศวรรษ 1990 และ Archipelago ปี 1996) เปิดให้ จับคู่คำสั่งโดยตรงในระบบอิเล็กทรอนิกส์ จากที่ปกติผ่านโบรกเกอร์/ DMA
ในช่วงเวลาเดียวกัน สหรัฐอเมริกาก็เปลี่ยนวิธีตั้งราคา
ก่อนปี 2001 ตลาดหุ้นสหรัฐใช้ระบบราคาแบบ fractional pricing พูดง่ายๆ คือ ราคาหุ้นจะขยับทีละ “เศษส่วนของหนึ่งดอลลาร์” เช่น:
- 1/8 (เท่ากับ 0.125 ดอลลาร์)
- 1/16 (เท่ากับ 0.0625 ดอลลาร์)
ตัวอย่าง: ถ้าหุ้นราคาปัจจุบันอยู่ที่ 50 ดอลลาร์ แล้วเพิ่มขึ้นหนึ่งช่อง ก็จะกลายเป็น 50 1/16 หรือ 50.0625 ดอลลาร์
ระบบนี้สืบทอดมาจากยุคที่ตลาดหุ้นยังมีรากฐานมาจากตลาดที่เคยใช้หน่วย 1/8 ของดอลลาร์เป็นหลัก เพราะในสมัยนั้น การคิดแบบเศษส่วนเข้าใจง่ายกว่า และคนเทรดสามารถคำนวณในหัวได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลข
แต่ปี 2001 คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) บังคับให้ตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็น decimal pricing
ราคาหุ้นจึงสามารถเคลื่อนไหวได้ละเอียดกว่าเดิมมาก เช่น จาก 50.00 → 50.01 → 50.02 ดอลลาร์
ฟังดูเหมือนการเปลี่ยนเล็กๆ แต่ในทางเศรษฐศาสตร์ตลาดทุนมันคือจุดเปลี่ยนใหญ่ค่ะ
เพราะส่วนต่างราคาระหว่าง ราคาเสนอซื้อ (bid) และ ราคาเสนอขาย (ask) หรือที่เราเรียกว่า spread แคบลงอย่างมหาศาล และคอมพิวเตอร์ก็สามารถเข้าไปเก็บกำไรเหล่านั้นได้เร็วกว่ามนุษย์หลายพันเท่า
จากนั้นเองที่ตลาดเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่ “ความเร็ว” และ “ความละเอียด” สำคัญกว่าความรู้สึกของมนุษย์
เมื่อมองทั้งภาพรวม การเกิดขึ้นของ HFT (High-frequency trading) ไม่ได้มาจากการเปลี่ยนเป็นทศนิยมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจาก decimalization + Reg NMS + โครงสร้างเทคโนโลยีที่เร็วขึ้น ประกอบกันค่ะ
🔹 ชนะกันที่ความเร็ว (2000s)
เมื่อเข้าสู่ยุค 2000 ทุกอย่างที่เราเคยคิดว่าเร็วกลับกลายเป็นช้าไปเสียแล้ว
บริษัทเทรดระดับโลกเริ่มวางเซิร์ฟเวอร์ไว้ข้างตลาดหุ้น (co-location) เพื่อให้สัญญาณเดินทางได้เร็วขึ้นในระดับ microseconds หรือเสี้ยวล้านของวินาที
เหตุผลคือ ยิ่งเครื่องอยู่ใกล้ตลาดมากเท่าไร สัญญาณไฟฟ้าที่ส่งผ่านสายไฟหรือสายไฟเบอร์ก็เดินทางเร็วขึ้นเท่านั้น ต่างกันเพียงไม่กี่ microseconds แต่สำหรับบริษัทที่ต้องแข่งกันส่งคำสั่งนับล้านครั้งต่อวินาที ความต่างเท่านี้ = ได้เปรียบมหาศาล
ในตลาดที่ทุกออเดอร์คือการแข่งขัน ความเร็วคือตัวตัดสิน เพราะการที่ซื้อได้ราคาถูกกว่าเพียงหุ้นละ 0.01 ดอลลาร์ แต่ถ้าทำได้วันละหลายสิบล้านหุ้น ก็นับได้ว่าเป็นความได้เปรียบเชิงโครงสร้างที่คู่แข่งตามไม่ทันแล้ว
บริษัทบางแห่งถึงขั้นจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้สายสัญญาณของตัวเอง “สั้นกว่าคนอื่นไม่กี่เมตร” เพราะแค่สัญญาณเดินทางเร็วขึ้นหนึ่ง microsecond ก็มีค่าหลายล้านดอลลาร์
ในตอนนั้นเส้นทางไฟเบอร์ตรงระหว่างชิคาโก–นิวยอร์ก ถูกสร้างขึ้นเพื่อประหยัดเวลาเพียง 3 มิลลิวินาที แต่มูลค่าโครงการสูงกว่า 300 ล้านดอลลาร์
ตลาดจึงเริ่มเปลี่ยนจากสนามของนักเศรษฐศาสตร์ มาเป็นสนามของวิศวกรไฟฟ้าและนักฟิสิกส์ ยุคนี้ไม่ได้แข่งกันว่าใครคิดกลยุทธ์เก่งกว่าอีกต่อไป แต่กลายเป็นการแข่งกันว่า “ใครไวกว่า” ไปแล้ว
▪️ปี 2005 สหรัฐอเมริกาออกกฎ Regulation NMS (fully implemented 2007) โดยมีเป้าหมายจะทำให้ตลาดเป็นธรรมขึ้น
กฎนี้บังคับให้โบรกเกอร์ต้องส่งคำสั่งซื้อขายไปยังตลาดที่มีราคาดีที่สุดในขณะนั้น ไม่ว่าตลาดนั้นจะอยู่ที่ใด เรียกว่า Order Protection Rule เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด trade-through NBBO (National Best Bid and Offer หรือราคาซื้อสูงสุด–ราคาขายต่ำสุดที่ดีที่สุดในระบบรวม)
แต่ในทางปฏิบัติ Reg NMS กลับสร้างโอกาสให้บริษัทเทรดความเร็วสูง หรือ HFT ใช้ทำ latency arbitrage หรือการเก็งกำไรจากความหน่วงของเวลาระหว่างตลาดต่าง ๆ ที่ราคายังไม่ทัน sync กัน
ลองนึกภาพว่าหุ้นตัวเดียวกัน เช่น หุ้น A จดทะเบียนอยู่ทั้งในตลาด NYSE และ NASDAQ
ตามกฎ Reg NMS โบรกเกอร์ทุกรายต้องส่งคำสั่งของลูกค้าไปยังตลาดที่ให้ “ราคาดีที่สุด” ทันที
แต่ราคาของสองตลาดไม่เคยเคลื่อนไหวพร้อมกันเป๊ะ เพราะข้อมูลต้องใช้เวลานิดหนึ่งในการเดินทาง และช่วงเวลาเพียง microseconds ที่ข้อมูลราคายัง “ไม่ทันกัน” นี่เอง คือช่องว่างทองของบอทเทรดค่ะ
สมมติว่าราคาใน NASDAQ เพิ่งขยับขึ้นจาก 100.00 → 100.01 ดอลลาร์
แต่ข้อมูลนี้ยังไม่ทันส่งไปถึง NYSE ซึ่งตอนนี้ยังแสดงราคาเดิมอยู่ที่ 100.00 ดอลลาร์
บอทที่เร็วพอจะ “เห็น” การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อนคนอื่น ก็จะรีบไปซื้อใน NYSE ที่ราคายังไม่ขยับ แล้วไปขายต่อใน NASDAQ ทันทีที่ราคาขึ้น
กำไรต่อหุ้นอาจดูเล็กแค่ 0.01 ดอลลาร์
แต่เมื่อทำได้หลายล้านครั้งต่อวัน ผลรวมคือกำไรระดับมหาศาล โดยที่ทั้งหมดนี้เกิดจากความต่างของเวลาเพียงเสี้ยววินาที
เรียกว่า latency arbitrage เป็นการใช้ “ความเร็ว” แทน “ความรู้” เพื่อเก็บเกี่ยวกำไรจากโครงสร้างของตลาดเอง
รัฐตั้งใจจะทำให้ทุกคนได้ราคาที่ดีที่สุด
แต่กลับเปิดโอกาสให้บริษัทที่ “เห็นราคานั้นก่อน” คว้าไปก่อนทุกคน
นอกจาก latency arbitrage แล้ว Reg NMS ยังเร่งให้ตลาดแตกเป็นเสี่ยง ๆ มีแหล่งซื้อขายและ dark/alternative venues เกิน 50 แห่ง เกิด quote stuffing (ส่งคำสั่งมหาศาลเพื่อถ่วงคู่แข่ง) และ maker-taker pricing ที่เปิดช่องให้ HFT เก็งกำไรค่าธรรมเนียมได้อีกชั้น
ตั้งแต่นั้นมา ตลาดหุ้นก็เริ่มเปลี่ยนจากระบบที่แข่งขันด้วยข้อมูลและการวิเคราะห์
มาเป็นระบบที่แข่งขันด้วยความเร็วและโครงสร้างทางเทคโนโลยีแทน
และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ HFT กลายเป็นหัวใจของตลาดหุ้นยุคใหม่ค่ะ
▪️ปี 2010 เกิดเหตุการณ์ Flash Crash
ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงกว่าพันจุดในเวลาไม่กี่นาที แล้วฟื้นกลับในเวลาไม่กี่นาทีเช่นกัน ราวกับมีใครกดปุ่มหยุดแล้วกดเล่นใหม่ทั้งระบบ
สาเหตุที่ค้นพบทีหลังคือ algorithm ของกองทุน mutual fund แห่งหนึ่งตั้งให้ขาย E-Mini S&P 500 futures มูลค่ากว่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยไม่จำกัดปริมาณต่อนาที
แม้ Waddell & Reed จะเป็นตัวจุดชนวน แต่รายงานของ SEC/CFTC สรุปว่าความเปราะบางมาจาก “โครงสร้างตลาดที่แยกส่วน + อัลกอริทึมที่ไม่มีขีดจำกัด + HFT ถอนสภาพคล่องพร้อมกัน” = ความเสี่ยงระดับระบบ
โปรแกรมนี้อาศัยเงื่อนไขว่า “ขายตามปริมาณตลาด” แต่ลืมใส่ขีดจำกัดไว้ว่า “ตลาดเล็กแค่ไหนถึงควรหยุด”
เมื่อบอทของบริษัท HFT เข้ามารับ order ก็เริ่มขายต่อให้กันเหมือนเล่นขว้างลูกมันฝรั่งร้อน (Hot Potato Effect) เพราะไม่มีใครอยากถือของที่ราคากำลังร่วง
ผลคือตลาดกลายเป็นสุญญากาศชั่วคราว ไม่มีใครยืนราคา
หุ้นบางตัวร่วงเหลือ 0.01 ดอลลาร์ ขณะที่บางตัวกระโดดขึ้นไปหลายหมื่นดอลลาร์ในไม่กี่วินาที
มันคือวันที่เราได้เห็นว่าความเร็วไม่ได้ช่วยให้ตลาดนิ่งขึ้น แต่อาจขยายแรงสั่นสะเทือนให้รุนแรงขึ้นในเสี้ยววินาทีค่ะ
หลังเหตุการณ์นั้น หน่วยงานกำกับได้ยกเลิกคำสั่งซื้อขายผิดปกติบางส่วน (trade busts) และทยอยนำมาตรการ market-wide circuit breakers และกติกา Limit-Up/Limit-Down (LULD) มาใช้ เพื่อกันไม่ให้ความผิดปกติลักษณะนี้ลุกลามอีกในอนาคต
ใครอยากได้สัมผัสว่าเหตุการณ์ในยุค HFT เป็นยังไง ลองอ่าน Flash Boys ของ Michael Lewis จะเข้าใจอารมณ์และบริบทของช่วงนี้ได้ดีค่ะ
🔹 เมื่อใครๆ ก็ใช้บอทเทรด (2010s–2020s)
จากเครื่องมือลับของกองทุนระดับโลก บอทเทรดเริ่มกลายเป็นเครื่องมือของนักลงทุนทั่วไป
โปรแกรม MetaTrader 4 (launched 2005) เปิดโอกาสให้ทุกคนเขียนสคริปต์ที่เรียกว่า EA หรือ Expert Advisor เพื่อเทรดค่าเงินอัตโนมัติได้เอง
ใครเขียนสูตรดี ก็เหมือนมีผู้ช่วยเทรดตลอด 24 ชั่วโมง แต่ถ้าสูตรผิด บอทก็จะเทรดขาดทุนอย่างมีวินัยทั้งวัน
ในขณะที่โลกของ cryptocurrency เติบโตอย่างรวดเร็ว ตลาดเปิดตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีพัก การมีบอทจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหลายๆคน ไม่ใช่เพียงทางเลือกอีกต่อไป
🔹 เมื่อบอทเริ่มเข้าใจภาษาของเรา
เทคโนโลยี Large Language Model หรือ LLM เช่น GPT และ Claude เริ่มถูกทดลองใช้วิเคราะห์ข้อความข่าวสารและ sentiment แต่ยังไม่แพร่หลายในการเทรดจริง เนื่องจากความเสี่ยงที่ยังมีอยู่มาก
บางระบบทดลองอ่าน transcript ผู้บริหารบริษัทแล้วสรุป sentiment ว่าผู้บริหารกำลังมั่นใจหรือกังวล แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้น research/pilot stage นะคะ
บางคนอาจจะเคยได้ยินว่ามี BloombergGPT ซึ่งทำหน้าที่เป็นระบบช่วยวิเคราะห์และค้นข้อมูลภายใน มากกว่าจะใช้สั่งการเทรดโดยตรง และ FinBERT ซึ่งเป็นโมเดลด้าน sentiment สำหรับงานวิเคราะห์ข้อความ ไม่ใช่บอทเทรดอัตโนมัติค่ะ
งานที่ใช้ LLM เพื่อการเทรดแบบอัตโนมัติ ยังอยู่ในระดับ research/pilot เป็นหลัก และมักทำงานร่วมกับระบบควบคุมความเสี่ยงภายนอกอย่างเข้มงวด
ความเสี่ยงหลักๆ ที่ยังแก้ไม่ได้มี 3 ข้อ:
- Prompt Injection
บอทอาจโดนหลอกด้วยคำสั่งที่ซ่อนอยู่ในข้อความ เหมือนมีคนแอบกระซิบบอกให้มันทำอะไรที่ไม่ควรทำ - Hallucination
บอทอาจเชื่อในข้อมูลที่ตัวเองแต่งขึ้นมา คิดว่าอ่านข่าวมาแต่จริงๆ มันกุขึ้นมาเอง (และมั่นใจมากด้วยนะคะ ว่าข้อมูลถูกต้องแน่นอน) - Lack of Explainability
เมื่อ LLM ตัดสินใจผิดพลาด เราไม่สามารถ trace ได้ว่ามันคิดยังไงจนมาถึงคำตอบนั้น ต่างจาก traditional ML ที่เราดู feature importance ได้
ในตลาดการเงิน การเข้าใจผิดเพียงครั้งเดียวอาจหมายถึงความเสียหายนับล้านบาท ดังนั้น LLM trading จึงยังต้องพัฒนาต่ออีกมาก
AI ที่ใช้เทรดจริงในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังเป็น traditional machine learning เช่น tree-based models, neural networks ที่ออกแบบมาเฉพาะทาง ไม่ใช่ LLMs ทั่วไปที่เราคุยกันอยู่
ดังนั้นในตอนนี้ LLMs ยังเป็นผู้ช่วยวิเคราะห์ ไม่ใช่นักเทรดตัวจริงค่ะ คือสามารถใช้เป็น co-pilot (วิเคราะห์ sentiment, สรุปรายงาน, ตรวจสอบข้อกำหนด) แต่ยังไม่ใช่ autopilot (ตัดสินใจเทรดเอง) เพราะความเสี่ยงสูงเกินไป
🔹ความเห็นส่วนตัวค่ะ
จากเครื่องส่งคำสั่งธรรมดาในปี 1976 สามารถพัฒนามาเป็นเครื่องที่อ่านภาษามนุษย์ได้ในปี 2025
เทคโนโลยีเดินหน้าไปเร็ว แต่ความเสี่ยงก็เติบโตตาม
บทเรียนจาก Black Monday, Flash Crash และวิกฤตต่างๆ บอกเราว่า ความฉลาดของเครื่องไม่ได้แก้ปัญหาทุกอย่าง บางทีมันกลับสร้างปัญหาใหม่ที่ซับซ้อนกว่าเดิม
แต่เราก็ไม่สามารถย้อนกลับไปใช้มนุษย์ตะโกนในห้องเทรดได้อีกแล้ว
สำหรับโปรเจกต์ AI portfolio manager ของเรา บทเรียนทั้งหมดนี้ทำให้เราเลือกแนวทาง “co-pilot ที่มี guardrails” เน้นการวิเคราะห์ เรียงลำดับความเสี่ยง และตรวจข้อกำหนด มากกว่าการปล่อยให้ระบบตัดสินใจซื้อขายเองแบบอัตโนมัติ
สิ่งที่ทำได้คือ เรียนรู้ให้ทัน เข้าใจว่ามันทำงานยังไง และรู้ว่าความเสี่ยงอยู่ตรงไหน
เพราะในโลกที่เครื่องเทรดได้เร็วกว่ามนุษย์คิด คนที่รอดคือคนที่เข้าใจเกมมากกว่าคนที่เล่นเร็ว