ประวัติศาสตร์ของ Bot Trade: จาก DOT สู่ LLM

ประวัติศาสตร์ของ Bot Trade: จาก DOT สู่ LLM

ภาษาอื่น / Other language: English · ไทย

สัปดาห์นี้เรามาเล่าแนวการเงินแทนค่ะ จากโปรเจคส่วนตัว ที่จะทำ AI portfolio manager วันนี้เลยขอร้อยเรียงเรื่องราวบอกกล่าวความหลังอ่านกันสนุกๆ นะคะ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของเทคโนโลยี แต่ยังเป็นวิวัฒนาการของความคิดทางการเงินด้วยค่ะ

🔹 จุดเริ่มต้น: เมื่อเครื่องจักรเริ่มส่งคำสั่งแทนมนุษย์ (1970s–1980s)

ปี 1976 ตลาดหุ้นนิวยอร์กเริ่มใช้ระบบที่ชื่อว่า DOT หรือ Designated Order Turnaround system

ในยุคแรกเริ่มนี้มันเป็นเพียงเครื่องส่งคำสั่งอัตโนมัติที่ช่วยให้คำสั่งซื้อขายเดินทางไปถึงพนักงานในห้องค้าได้เร็วขึ้น จากเดิมที่ต้องใช้เวลาเป็นนาทีก็เหลือเพียงไม่กี่วินาที เหมือนเปลี่ยนจากการส่งแฟกซ์มาเป็นการส่งอีเมล

เมื่อเห็นว่าคอมพิวเตอร์สามารถทำงานตามคำสั่งได้แม่นยำ จึงเริ่มมีความคิดว่าทำไมไม่ให้มันตัดสินใจเองด้วยเสียเลย

ความคิดนั้นกลายเป็นจุดกำเนิดของ Program Trading หรือระบบเทรดตามสูตร เราสามารถตั้งเงื่อนไขง่ายๆ เช่น ถ้าราคาหุ้นร่วงเกิน 5% ให้ขายล่วงหน้าในตลาด futures เพื่อป้องกันความเสี่ยง

แนวคิดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากโมเดล Black-Scholes ที่ตีพิมพ์ในปี 1973 และกำลังปฏิวัติวงการ derivatives trading ในเวลานั้น (โมเดลนี้ทำให้ Myron Scholes และ Robert Merton ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1997 สำหรับการพัฒนาต่อยอด ส่วน Fischer Black เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นในปี 1995)

Black-Scholes เป็นสูตรที่ใช้คำนวณราคาของ option แบบมีเหตุมีผลทางคณิตศาสตร์เป็นครั้งแรกในโลก เพราะสามารถเชื่อมโยงตัวแปรสำคัญห้าตัวเข้าด้วยกัน ได้แก่:

  1. ราคาปัจจุบันของสินทรัพย์ (Current Price)
  2. ราคาใช้สิทธิ์ในสัญญา (Strike Price)
  3. ระยะเวลาที่เหลือก่อนหมดอายุสัญญา (Time to Maturity)
  4. อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate)
  5. ความผันผวนของราคา (Volatility)

สมการนี้จะคำนวณ “มูลค่าที่เหมาะสมของ option” ตามหลักเหตุผลของตลาดในขณะนั้น พูดให้เห็นภาพง่ายๆ คือ มันเหมือนเครื่องคิดเลขทางการเงินที่คำนวณว่า “ถ้าราคาหุ้นเป็นแบบนี้ ดอกเบี้ยเป็นแบบนี้ และความผันผวนเท่านี้ option ควรจะมีมูลค่ากี่บาท”

ตอนนั้นนักลงทุนตื่นเต้นมาก เพราะมันทำให้ความเสี่ยงดูเหมือนเป็นสิ่งที่คำนวณได้ และนั่นเองที่ทำให้เกิดแนวคิดว่า ⭐️ถ้าเราสามารถป้องกันความเสี่ยงของ option ได้ เราก็น่าจะป้องกันความเสี่ยงของทั้งพอร์ตได้เหมือนกัน ⭐️

ในปี 1984 NYSE อัปเกรดเป็น SuperDOT รองรับออเดอร์จำนวนมากและกลายเป็นช่องทางหลักของตลาด

แต่โลกการเงินไม่เคยปรานีใครนานนักค่ะ

วันที่ 19 ตุลาคม 1987 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Black Monday เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น

ระบบที่ออกแบบมาป้องกันความเสี่ยงของแต่ละกองทุนกลับกลายเป็นความเสี่ยงระดับระบบ เพราะเมื่อทุกคนใช้กลยุทธ์เดียวกัน (ขาย futures เมื่อตลาดลง) การกระทำพร้อมกันจึงสร้าง feedback loop ที่ทำให้ตลาดพังเร็วกว่าที่มนุษย์จะหยุดได้ทัน

กลไกที่เกิดขึ้นเป็นแบบนี้ค่ะ:

  • ตลาดเริ่มลง → กองทุนทั้งหมดขาย futures เพื่อ hedge พอร์ต
  • Futures ราคาตก → Arbitrageurs ขายหุ้นตาม
  • ตลาดหุ้นตกต่อ → กองทุนอื่นต้อง hedge เพิ่ม
  • วนซ้ำจนเกิด death spiral

ทั้งนี้ เหตุการณ์ Black Monday มีหลายปัจจัยประกอบกันค่ะ ระบบ portfolio insurance และ program trading เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่เร่งให้ความผันผวนปะทุขึ้น แต่ฉากหลังยังมีเรื่องความกังวลด้านมูลค่าหุ้น ดอกเบี้ยขาขึ้น ดุลการค้าที่ตึงตัว และบรรยากาศจิตวิทยาตลาดที่เปราะบางร่วมอยู่ด้วย

ตลาดหุ้นทั่วโลกจึงร่วงลงอย่างรุนแรง เป็นวันที่เราได้เห็นว่าเครื่องที่ออกแบบมาให้ฉลาดกลับกลายเป็นอันตรายได้ เมื่อทุกคนใช้ความฉลาดเดียวกันพร้อมกันโดยไม่มีใครหยุด


🔹 เมื่อเครื่องเริ่มเข้าใจภาษา “ตลาด” (1990s)

หลังเหตุการณ์ Black Monday ทุกคนเริ่มทบทวนว่าเราควรเชื่อเครื่องมากแค่ไหน แต่เทคโนโลยีก็ยังเดินหน้าต่อไป

เข้าสู่ทศวรรษ 1990 ตลาดเริ่มเปลี่ยนจากเสียงตะโกนเป็นเสียงคลิกเมาส์ ระบบ ECN (เช่น Instinet ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 1969 แต่มาบูมในทศวรรษ 1990 และ Archipelago ปี 1996) เปิดให้ จับคู่คำสั่งโดยตรงในระบบอิเล็กทรอนิกส์ จากที่ปกติผ่านโบรกเกอร์/ DMA

ในช่วงเวลาเดียวกัน สหรัฐอเมริกาก็เปลี่ยนวิธีตั้งราคา

ก่อนปี 2001 ตลาดหุ้นสหรัฐใช้ระบบราคาแบบ fractional pricing พูดง่ายๆ คือ ราคาหุ้นจะขยับทีละ “เศษส่วนของหนึ่งดอลลาร์” เช่น:

  • 1/8 (เท่ากับ 0.125 ดอลลาร์)
  • 1/16 (เท่ากับ 0.0625 ดอลลาร์)

ตัวอย่าง: ถ้าหุ้นราคาปัจจุบันอยู่ที่ 50 ดอลลาร์ แล้วเพิ่มขึ้นหนึ่งช่อง ก็จะกลายเป็น 50 1/16 หรือ 50.0625 ดอลลาร์

ระบบนี้สืบทอดมาจากยุคที่ตลาดหุ้นยังมีรากฐานมาจากตลาดที่เคยใช้หน่วย 1/8 ของดอลลาร์เป็นหลัก เพราะในสมัยนั้น การคิดแบบเศษส่วนเข้าใจง่ายกว่า และคนเทรดสามารถคำนวณในหัวได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลข

แต่ปี 2001 คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) บังคับให้ตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็น decimal pricing
ราคาหุ้นจึงสามารถเคลื่อนไหวได้ละเอียดกว่าเดิมมาก เช่น จาก 50.00 → 50.01 → 50.02 ดอลลาร์

ฟังดูเหมือนการเปลี่ยนเล็กๆ แต่ในทางเศรษฐศาสตร์ตลาดทุนมันคือจุดเปลี่ยนใหญ่ค่ะ

เพราะส่วนต่างราคาระหว่าง ราคาเสนอซื้อ (bid) และ ราคาเสนอขาย (ask) หรือที่เราเรียกว่า spread แคบลงอย่างมหาศาล และคอมพิวเตอร์ก็สามารถเข้าไปเก็บกำไรเหล่านั้นได้เร็วกว่ามนุษย์หลายพันเท่า

จากนั้นเองที่ตลาดเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่ “ความเร็ว” และ “ความละเอียด” สำคัญกว่าความรู้สึกของมนุษย์

เมื่อมองทั้งภาพรวม การเกิดขึ้นของ HFT (High-frequency trading) ไม่ได้มาจากการเปลี่ยนเป็นทศนิยมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจาก decimalization + Reg NMS + โครงสร้างเทคโนโลยีที่เร็วขึ้น ประกอบกันค่ะ


🔹 ชนะกันที่ความเร็ว (2000s)

เมื่อเข้าสู่ยุค 2000 ทุกอย่างที่เราเคยคิดว่าเร็วกลับกลายเป็นช้าไปเสียแล้ว

บริษัทเทรดระดับโลกเริ่มวางเซิร์ฟเวอร์ไว้ข้างตลาดหุ้น (co-location) เพื่อให้สัญญาณเดินทางได้เร็วขึ้นในระดับ microseconds หรือเสี้ยวล้านของวินาที

เหตุผลคือ ยิ่งเครื่องอยู่ใกล้ตลาดมากเท่าไร สัญญาณไฟฟ้าที่ส่งผ่านสายไฟหรือสายไฟเบอร์ก็เดินทางเร็วขึ้นเท่านั้น ต่างกันเพียงไม่กี่ microseconds แต่สำหรับบริษัทที่ต้องแข่งกันส่งคำสั่งนับล้านครั้งต่อวินาที ความต่างเท่านี้ = ได้เปรียบมหาศาล

ในตลาดที่ทุกออเดอร์คือการแข่งขัน ความเร็วคือตัวตัดสิน เพราะการที่ซื้อได้ราคาถูกกว่าเพียงหุ้นละ 0.01 ดอลลาร์ แต่ถ้าทำได้วันละหลายสิบล้านหุ้น ก็นับได้ว่าเป็นความได้เปรียบเชิงโครงสร้างที่คู่แข่งตามไม่ทันแล้ว

บริษัทบางแห่งถึงขั้นจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้สายสัญญาณของตัวเอง “สั้นกว่าคนอื่นไม่กี่เมตร” เพราะแค่สัญญาณเดินทางเร็วขึ้นหนึ่ง microsecond ก็มีค่าหลายล้านดอลลาร์

ในตอนนั้นเส้นทางไฟเบอร์ตรงระหว่างชิคาโก–นิวยอร์ก ถูกสร้างขึ้นเพื่อประหยัดเวลาเพียง 3 มิลลิวินาที แต่มูลค่าโครงการสูงกว่า 300 ล้านดอลลาร์

ตลาดจึงเริ่มเปลี่ยนจากสนามของนักเศรษฐศาสตร์ มาเป็นสนามของวิศวกรไฟฟ้าและนักฟิสิกส์ ยุคนี้ไม่ได้แข่งกันว่าใครคิดกลยุทธ์เก่งกว่าอีกต่อไป แต่กลายเป็นการแข่งกันว่า “ใครไวกว่า” ไปแล้ว

▪️ปี 2005 สหรัฐอเมริกาออกกฎ Regulation NMS (fully implemented 2007) โดยมีเป้าหมายจะทำให้ตลาดเป็นธรรมขึ้น

กฎนี้บังคับให้โบรกเกอร์ต้องส่งคำสั่งซื้อขายไปยังตลาดที่มีราคาดีที่สุดในขณะนั้น ไม่ว่าตลาดนั้นจะอยู่ที่ใด เรียกว่า Order Protection Rule เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด trade-through NBBO (National Best Bid and Offer หรือราคาซื้อสูงสุด–ราคาขายต่ำสุดที่ดีที่สุดในระบบรวม)

แต่ในทางปฏิบัติ Reg NMS กลับสร้างโอกาสให้บริษัทเทรดความเร็วสูง หรือ HFT ใช้ทำ latency arbitrage หรือการเก็งกำไรจากความหน่วงของเวลาระหว่างตลาดต่าง ๆ ที่ราคายังไม่ทัน sync กัน

ลองนึกภาพว่าหุ้นตัวเดียวกัน เช่น หุ้น A จดทะเบียนอยู่ทั้งในตลาด NYSE และ NASDAQ
ตามกฎ Reg NMS โบรกเกอร์ทุกรายต้องส่งคำสั่งของลูกค้าไปยังตลาดที่ให้ “ราคาดีที่สุด” ทันที

แต่ราคาของสองตลาดไม่เคยเคลื่อนไหวพร้อมกันเป๊ะ เพราะข้อมูลต้องใช้เวลานิดหนึ่งในการเดินทาง และช่วงเวลาเพียง microseconds ที่ข้อมูลราคายัง “ไม่ทันกัน” นี่เอง คือช่องว่างทองของบอทเทรดค่ะ

สมมติว่าราคาใน NASDAQ เพิ่งขยับขึ้นจาก 100.00 → 100.01 ดอลลาร์
แต่ข้อมูลนี้ยังไม่ทันส่งไปถึง NYSE ซึ่งตอนนี้ยังแสดงราคาเดิมอยู่ที่ 100.00 ดอลลาร์
บอทที่เร็วพอจะ “เห็น” การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อนคนอื่น ก็จะรีบไปซื้อใน NYSE ที่ราคายังไม่ขยับ แล้วไปขายต่อใน NASDAQ ทันทีที่ราคาขึ้น

กำไรต่อหุ้นอาจดูเล็กแค่ 0.01 ดอลลาร์
แต่เมื่อทำได้หลายล้านครั้งต่อวัน ผลรวมคือกำไรระดับมหาศาล โดยที่ทั้งหมดนี้เกิดจากความต่างของเวลาเพียงเสี้ยววินาที

เรียกว่า latency arbitrage เป็นการใช้ “ความเร็ว” แทน “ความรู้” เพื่อเก็บเกี่ยวกำไรจากโครงสร้างของตลาดเอง

รัฐตั้งใจจะทำให้ทุกคนได้ราคาที่ดีที่สุด
แต่กลับเปิดโอกาสให้บริษัทที่ “เห็นราคานั้นก่อน” คว้าไปก่อนทุกคน

นอกจาก latency arbitrage แล้ว Reg NMS ยังเร่งให้ตลาดแตกเป็นเสี่ยง ๆ มีแหล่งซื้อขายและ dark/alternative venues เกิน 50 แห่ง เกิด quote stuffing (ส่งคำสั่งมหาศาลเพื่อถ่วงคู่แข่ง) และ maker-taker pricing ที่เปิดช่องให้ HFT เก็งกำไรค่าธรรมเนียมได้อีกชั้น

ตั้งแต่นั้นมา ตลาดหุ้นก็เริ่มเปลี่ยนจากระบบที่แข่งขันด้วยข้อมูลและการวิเคราะห์
มาเป็นระบบที่แข่งขันด้วยความเร็วและโครงสร้างทางเทคโนโลยีแทน

และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ HFT กลายเป็นหัวใจของตลาดหุ้นยุคใหม่ค่ะ

▪️ปี 2010 เกิดเหตุการณ์ Flash Crash

ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงกว่าพันจุดในเวลาไม่กี่นาที แล้วฟื้นกลับในเวลาไม่กี่นาทีเช่นกัน ราวกับมีใครกดปุ่มหยุดแล้วกดเล่นใหม่ทั้งระบบ

สาเหตุที่ค้นพบทีหลังคือ algorithm ของกองทุน mutual fund แห่งหนึ่งตั้งให้ขาย E-Mini S&P 500 futures มูลค่ากว่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยไม่จำกัดปริมาณต่อนาที

แม้ Waddell & Reed จะเป็นตัวจุดชนวน แต่รายงานของ SEC/CFTC สรุปว่าความเปราะบางมาจาก “โครงสร้างตลาดที่แยกส่วน + อัลกอริทึมที่ไม่มีขีดจำกัด + HFT ถอนสภาพคล่องพร้อมกัน” = ความเสี่ยงระดับระบบ

โปรแกรมนี้อาศัยเงื่อนไขว่า “ขายตามปริมาณตลาด” แต่ลืมใส่ขีดจำกัดไว้ว่า “ตลาดเล็กแค่ไหนถึงควรหยุด”
เมื่อบอทของบริษัท HFT เข้ามารับ order ก็เริ่มขายต่อให้กันเหมือนเล่นขว้างลูกมันฝรั่งร้อน (Hot Potato Effect) เพราะไม่มีใครอยากถือของที่ราคากำลังร่วง
ผลคือตลาดกลายเป็นสุญญากาศชั่วคราว ไม่มีใครยืนราคา

หุ้นบางตัวร่วงเหลือ 0.01 ดอลลาร์ ขณะที่บางตัวกระโดดขึ้นไปหลายหมื่นดอลลาร์ในไม่กี่วินาที
มันคือวันที่เราได้เห็นว่าความเร็วไม่ได้ช่วยให้ตลาดนิ่งขึ้น แต่อาจขยายแรงสั่นสะเทือนให้รุนแรงขึ้นในเสี้ยววินาทีค่ะ

หลังเหตุการณ์นั้น หน่วยงานกำกับได้ยกเลิกคำสั่งซื้อขายผิดปกติบางส่วน (trade busts) และทยอยนำมาตรการ market-wide circuit breakers และกติกา Limit-Up/Limit-Down (LULD) มาใช้ เพื่อกันไม่ให้ความผิดปกติลักษณะนี้ลุกลามอีกในอนาคต

ใครอยากได้สัมผัสว่าเหตุการณ์ในยุค HFT เป็นยังไง ลองอ่าน Flash Boys ของ Michael Lewis จะเข้าใจอารมณ์และบริบทของช่วงนี้ได้ดีค่ะ


🔹 เมื่อใครๆ ก็ใช้บอทเทรด (2010s–2020s)

จากเครื่องมือลับของกองทุนระดับโลก บอทเทรดเริ่มกลายเป็นเครื่องมือของนักลงทุนทั่วไป

โปรแกรม MetaTrader 4 (launched 2005) เปิดโอกาสให้ทุกคนเขียนสคริปต์ที่เรียกว่า EA หรือ Expert Advisor เพื่อเทรดค่าเงินอัตโนมัติได้เอง

ใครเขียนสูตรดี ก็เหมือนมีผู้ช่วยเทรดตลอด 24 ชั่วโมง แต่ถ้าสูตรผิด บอทก็จะเทรดขาดทุนอย่างมีวินัยทั้งวัน

ในขณะที่โลกของ cryptocurrency เติบโตอย่างรวดเร็ว ตลาดเปิดตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีพัก การมีบอทจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหลายๆคน ไม่ใช่เพียงทางเลือกอีกต่อไป


🔹 เมื่อบอทเริ่มเข้าใจภาษาของเรา

เทคโนโลยี Large Language Model หรือ LLM เช่น GPT และ Claude เริ่มถูกทดลองใช้วิเคราะห์ข้อความข่าวสารและ sentiment แต่ยังไม่แพร่หลายในการเทรดจริง เนื่องจากความเสี่ยงที่ยังมีอยู่มาก

บางระบบทดลองอ่าน transcript ผู้บริหารบริษัทแล้วสรุป sentiment ว่าผู้บริหารกำลังมั่นใจหรือกังวล แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้น research/pilot stage นะคะ

บางคนอาจจะเคยได้ยินว่ามี BloombergGPT ซึ่งทำหน้าที่เป็นระบบช่วยวิเคราะห์และค้นข้อมูลภายใน มากกว่าจะใช้สั่งการเทรดโดยตรง และ FinBERT ซึ่งเป็นโมเดลด้าน sentiment สำหรับงานวิเคราะห์ข้อความ ไม่ใช่บอทเทรดอัตโนมัติค่ะ

งานที่ใช้ LLM เพื่อการเทรดแบบอัตโนมัติ ยังอยู่ในระดับ research/pilot เป็นหลัก และมักทำงานร่วมกับระบบควบคุมความเสี่ยงภายนอกอย่างเข้มงวด

ความเสี่ยงหลักๆ ที่ยังแก้ไม่ได้มี 3 ข้อ:

  1. Prompt Injection
    บอทอาจโดนหลอกด้วยคำสั่งที่ซ่อนอยู่ในข้อความ เหมือนมีคนแอบกระซิบบอกให้มันทำอะไรที่ไม่ควรทำ
  2. Hallucination
    บอทอาจเชื่อในข้อมูลที่ตัวเองแต่งขึ้นมา คิดว่าอ่านข่าวมาแต่จริงๆ มันกุขึ้นมาเอง (และมั่นใจมากด้วยนะคะ ว่าข้อมูลถูกต้องแน่นอน)
  3. Lack of Explainability
    เมื่อ LLM ตัดสินใจผิดพลาด เราไม่สามารถ trace ได้ว่ามันคิดยังไงจนมาถึงคำตอบนั้น ต่างจาก traditional ML ที่เราดู feature importance ได้

ในตลาดการเงิน การเข้าใจผิดเพียงครั้งเดียวอาจหมายถึงความเสียหายนับล้านบาท ดังนั้น LLM trading จึงยังต้องพัฒนาต่ออีกมาก

AI ที่ใช้เทรดจริงในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังเป็น traditional machine learning เช่น tree-based models, neural networks ที่ออกแบบมาเฉพาะทาง ไม่ใช่ LLMs ทั่วไปที่เราคุยกันอยู่

ดังนั้นในตอนนี้ LLMs ยังเป็นผู้ช่วยวิเคราะห์ ไม่ใช่นักเทรดตัวจริงค่ะ คือสามารถใช้เป็น co-pilot (วิเคราะห์ sentiment, สรุปรายงาน, ตรวจสอบข้อกำหนด) แต่ยังไม่ใช่ autopilot (ตัดสินใจเทรดเอง) เพราะความเสี่ยงสูงเกินไป


🔹ความเห็นส่วนตัวค่ะ

จากเครื่องส่งคำสั่งธรรมดาในปี 1976 สามารถพัฒนามาเป็นเครื่องที่อ่านภาษามนุษย์ได้ในปี 2025

เทคโนโลยีเดินหน้าไปเร็ว แต่ความเสี่ยงก็เติบโตตาม

บทเรียนจาก Black Monday, Flash Crash และวิกฤตต่างๆ บอกเราว่า ความฉลาดของเครื่องไม่ได้แก้ปัญหาทุกอย่าง บางทีมันกลับสร้างปัญหาใหม่ที่ซับซ้อนกว่าเดิม

แต่เราก็ไม่สามารถย้อนกลับไปใช้มนุษย์ตะโกนในห้องเทรดได้อีกแล้ว

สำหรับโปรเจกต์ AI portfolio manager ของเรา บทเรียนทั้งหมดนี้ทำให้เราเลือกแนวทาง “co-pilot ที่มี guardrails” เน้นการวิเคราะห์ เรียงลำดับความเสี่ยง และตรวจข้อกำหนด มากกว่าการปล่อยให้ระบบตัดสินใจซื้อขายเองแบบอัตโนมัติ

สิ่งที่ทำได้คือ เรียนรู้ให้ทัน เข้าใจว่ามันทำงานยังไง และรู้ว่าความเสี่ยงอยู่ตรงไหน

เพราะในโลกที่เครื่องเทรดได้เร็วกว่ามนุษย์คิด คนที่รอดคือคนที่เข้าใจเกมมากกว่าคนที่เล่นเร็ว

ภาษาอื่น / Other language: English · ไทย