ท่านพุทธทาสกับเถรวาทและมหายาน

ท่านพุทธทาสกับเถรวาทและมหายาน

ผู้แต่ง: กัญญา พาณิชย์กุล · กัญญา ลีลาลัย · ฤดี เริงชัย


ดิฉันติดตามงานของท่านอาจารย์พุทธทาสมาพอสมควร
และเห็นว่า หากจะเข้าใจท่าน ต้องเข้าใจบริบททางสังคม
รวมถึงสังคมพุทธในช่วงก่อน พ.ศ. 2475
ซึ่งเป็นปีที่ สวนโมกข์ ถือกำเนิดขึ้น


บริบททางสังคมและพุทธศาสนาไทยในยุคนั้น

ท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นพระภิกษุในฝ่าย เถรวาท
บวชเรียนตามประเพณี เรียนนักธรรม ศึกษาพระบาลี
เป็นพระนักเทศน์มาก่อนที่ท่านจะหันหลังกลับ
มุ่งเดินตามรอยพระอรหันต์ ตามรอยบาทพระบรมศาสดา

ในเวลานั้น สังคมไทยเชื่อว่า “พระอรหันต์ขาดสูญแล้ว”
การศึกษาพระธรรมในคณะสงฆ์เน้นเพียง ปริยัติธรรม
การบริหารคณะสงฆ์เป็นไปเพื่อสืบต่อการศึกษาในแนวบาลี
ดังที่ เจ้าคุณอุบาลี (จันทร์) เคยชวน
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาช่วยบริหารคณะสงฆ์
ก่อนที่ท่านจะบรรลุธรรมเสียอีก


การภาวนาและแนวทางที่สืบต่อมา

ในขณะนั้น การภาวนาแบบ เมตตาเจโตวิมุตติ
ซึ่งสืบสายจาก สมเด็จพระสังฆราชสุก (ไก่เถื่อน)
ยังเป็นแนวที่อาศัยพิธีกรรมและการอธิษฐานจิตอย่างเข้มงวด
จึงยากยิ่งเมื่อเทียบกับรูปแบบการภาวนาในสมัยนี้

การตัดสินใจของท่านพุทธทาส ที่จะเดินตามรอยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทำให้ท่านย้อนกลับมาปฏิบัติตาม พระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกอย่างเคร่งครัด

สองปีแรกของสวนโมกข์
ท่านอาศัยในวัดร้างกลางป่า ฝึกตนอย่างโดดเดี่ยว
แม้ภายหลังเริ่มมีสหายธรรมมาร่วมอยู่
ท่านก็ยังรักษาความเคร่งครัดดังเดิม


การแหวกเส้นทางสู่ต้นรากของธรรม

การใช้ชีวิตเยี่ยงพระในสมัยพุทธกาล
ทำให้ท่านพุทธทาสย้อนกลับไปถึง
คำสอนก่อนปฐมสังคายนา

ผู้ที่ได้พิจารณาคำสอนช่วงนั้น
ย่อมเห็นความเป็น “พุทธยาน” อันกว้างใหญ่
ก่อนจะเกิดการแบ่งเป็น “เถรวาท” และ “มหายาน”

ดังนั้น ใครที่เข้าถึงแก่นนั้นได้
ย่อมเข้าใจว่า “ก่อนจะมีคำว่ายานเล็กยานใหญ่
มีเพียงยานเดียวคือ พุทธยาน เท่านั้น”


การศึกษาพระธรรมในแนวกว้าง

ดิฉันทราบจากบันทึกและจดหมายว่า
ท่านพุทธทาส สั่งซื้อหนังสือจำนวนมาก
เพื่อศึกษาเปรียบเทียบกับพระพุทธศาสนาในเอเชียใต้
รวมถึงของฝ่ายมหายาน

ท่านยังเป็นสหายธรรมกับ นายแพทย์ตันม่อเซี้ยง
ปราชญ์ฝ่ายมหายาน ซึ่งต่อมาบวชเป็นพระในสายมหายาน
รวมทั้งแลกเปลี่ยนความเห็นกับ อาจารย์เสถียร โพธินันทะ
ซึ่งแม้จะอยู่ฝ่ายเถรวาท แต่ก็สนใจมหายานอย่างลึกซึ้งเช่นกัน


จุดมุ่งหมายของท่าน

การตามรอยธรรมเช่นนี้
ทำให้ท่านพุทธทาสเห็นที่มาของความคิดและแนวเชื่อต่างๆ
อย่างทะลุปรุโปร่ง

ตัวอย่างเช่น การอธิบาย “ปฏิจจสมุปบาทแบบไม่ข้ามภพข้ามชาติ
ไม่ได้หมายความว่าท่านปฏิเสธนรก สวรรค์ หรือการเวียนว่ายตายเกิด
แต่ท่านต้องการให้เรา รู้แจ้งในชาตินี้
ให้เอา “ของจริง” — คือกายและใจของเรานี้เอง — มาดู มาปฏิบัติ
เพื่อรับผลอันน่าชื่นใจของธรรมใน ปัจจุบันขณะ


มุมมองต่ออภิธรรมและคัมภีร์

สมัยนั้น แวดวงอภิธรรมยังเน้นการท่องจำมากกว่าการปฏิบัติ
ต่างจากยุคนี้ที่นักอภิธรรมจำนวนมากมุ่งปฏิบัติจริงเพื่อความหลุดพ้น

ดิฉันติดตามงานของท่านพุทธทาสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514
แม้ท่านจะกล่าวว่า “อ่านแค่พระวินัยและพระสูตรก็พอ”
แต่ดิฉันก็อ่านทั้ง พระอภิธรรม ด้วย
เพราะหากจะอ่านพระไตรปิฎกให้ครบ ก็ควรอ่านทั้งหมด


ความเข้าใจและการยกย่อง

ท่านพุทธทาสเคยวิจารณ์คัมภีร์ วิสุทธิมรรค
ของพระพุทธโฆษาจารย์
ดิฉันจึงไปหามาอ่านด้วยตนเอง และชอบมาก
คำวิจารณ์ของท่านกลับช่วยเปิดมุมมองใหม่
ทำให้เข้าใจคัมภีร์นั้นลึกซึ้งกว่าเดิม

ท่านยังกล่าวถึงคัมภีร์ วิมุตติมรรค ของพระอุปติสสะเถระ
ซึ่งมีมาก่อนวิสุทธิมรรค และมีอิทธิพลต่อกัน
ดิฉันพยายามตามหาคัมภีร์นี้อยู่หลายปี
จนได้จากร้านมหาจุฬาบรรณาคาร
ที่วัดมหาธาตุฯ ในที่สุด

เมื่อนำมาเทียบกับวิสุทธิมรรค
ยิ่งเห็นถึงความเป็นปราชญ์และอัจฉริยะของท่านพุทธทาส


เมื่อใครมักจะ “ฟันธง” เรื่องท่านอาจารย์พุทธทาส
ดิฉันมักตอบเพียงว่า

“ดิฉันยังศึกษาไม่พอ”

เพราะรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

แต่อย่างน้อย — ในสิ่งที่ได้ศึกษามา
โดยเฉพาะเรื่อง สมถะ-วิปัสสนา และอานาปานสติ
ดิฉันต้องขอยกท่านไว้เหนือเศียรเหนือเกล้า

เพราะเมื่อเราทำตามที่ท่านสอนอย่างซื่อตรง
เราจะได้ “ประจักษ์แจ้งความจริงบางประการ” ด้วยตนเอง
ทั้งสอบทานกับคำสอนของท่านได้
และสอดคล้องกับพระไตรปิฎกอย่างงดงาม


Posted on BlogGang : 26 กรกฎาคม 2552